เครื่องใช้ไฟฟ้าคึกรับตลาดฟื้น สินค้าใหม่พรึ่บ “ไอโอที-สุขภาพ” มาแรง

เครื่องใช้ไฟฟ้า

เครื่องใช้ไฟฟ้าประสานเสียงมั่นใจท่องเที่ยวหนุนตลาดปี’66 ฟื้นเต็มที่ แบรนด์เกาหลี ญี่ปุ่น จีน ตบเท้าขนสินค้าใหม่ลงตลาดเต็มทุกเซ็กเมนต์ ชูฟังก์ชั่นไอโอที-สุขภาพรับเทรนด์มาแรง พร้อมโหมงบฯสื่อสาร-กิจกรรม-โปรโมชั่นต่อเนื่องทั้งปี หวังชิงเม็ดเงินหลังชะลอมานานกว่า 3 ปี

แนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้ามูลค่า 5.3 หมื่นล้านบาท จากกระแสการท่องเที่ยว ทำให้แบรนด์สินค้าทั้งเกาหลี ญี่ปุ่น และจีน ต่างเดินหน้าทุ่มสินค้าใหม่และงบฯ การตลาดก้อนโต โหมทำตลาดเต็มที่ในปี 2566 นี้ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวสินค้าในหลากหลายหมวด และการจัดกิจกรรม-แคมเปญเพื่อกระตุ้นการขาย หวังสร้างการเติบโตหลังต้องเผชิญการระบาดของโควิด-19 มานาน

มั่นใจท่องเที่ยวหนุนแรง

นายอำนาจ สิงหจันทร์ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปี 2566 นี้ ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้ามีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างเต็มรูปแบบ ตามการฟื้นตัวของอุตฯ ท่องเที่ยว สะท้อนจากช่วงไตรมาส 4 ปี 2565 ยอดขายของดีลเลอร์ในพื้นที่ท่องเที่ยวกลับมาเติบโตอีกครั้ง อีกทั้งยังมีโครงการช้อปดีมีคืนมาช่วยกระตุ้นการตัดสินใจของผู้บริโภคระดับกลาง-บน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ฟื้นตัวก่อน ส่วนกลุ่มแมสอาจต้องรอช่วงกลางปี

ด้านผู้บริโภคมีแนวโน้มต้องการสินค้าใหม่ ไม่ว่าจะเป็นทีวีพรีเมี่ยมราคา 3 หมื่นบาทขึ้นไป และจอขนาดตั้งแต่ 55 นิ้วขึ้นไป หรือเครื่องซักผ้าที่ผู้บริโภคหันมาใช้มากขึ้น เพราะกังวลเรื่องความสะอาดของการส่งซัก-รีด โดยเทรนด์หลักจะเป็นเครื่องฝาหน้าซึ่งสามารถซักน้ำร้อน-อบได้ สะท้อนจากสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นมาสวนทางกับแบบ 2 ถังในช่วงที่ผ่านมา

ด้วยปัจจัยเหล่านี้ จึงเชื่อว่าปีนี้ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้ามูลค่า 6 หมื่นล้านจะเติบโตแน่นอน แต่จะเติบโตเพียงใดยังต้องดูสถานการณ์และการเติบโตของสินค้าต่าง ๆ ทั้งนี้ ในกลุ่มสินค้าที่บริษัททำตลาดนั้น ตลาดทีวีมูลค่า 2.33 หมื่นล้านบาทจะเติบโตอีก 5% ส่วนตลาดเครื่องซักผ้ามูลค่า 1.51 หมื่นล้านบาท จะเติบโตถึง 10%

ขณะเดียวกัน บริษัทตัดสินใจเพิ่มงบฯ การตลาดเป็น 900 ล้านบาท จาก 800 ล้านบาทในปีที่แล้ว เพื่ออัพเกรดจุดจำหน่ายทั้งในโมเดิร์นเทรดและดีลเลอร์ พร้อมเพิ่มจำนวนสินค้าที่จะเปิดตัวในปีนี้ให้มากขึ้น เพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้าได้หลากหลาย เริ่มจากไตรมาสแรกที่จะเปิดตัวแอร์รุ่นใหม่รับหน้าขายช่วงฤดูร้อน รวมถึงกลับมาลุยทำกิจกรรมการตลาดทั่วประเทศ หลังเว้นว่างไปในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 นานกว่า 3 ปี

“นอกจากปีนี้เราจะมีสินค้ากลุ่มเดิมหลากหลายรุ่นมากขึ้นแล้ว ยังจะมีสินค้ากลุ่มอื่น ๆ เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยเพิ่มอีกด้วย โดยอาจเป็นการนำเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็กและเครื่องดูดฝุ่นซึ่งเคยทำตลาดแต่หยุดไปช่วงหนึ่งกลับมาอีกครั้ง”

จับตากระแสไอโอทีมาแรง

สอดคล้องกับการประเมินของ ไฮเออร์ ซึ่งคาดว่าตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าปีนี้จะเติบโตเช่นกัน โดยนายธเนศร์ บินอาซัน รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลาดมูลค่า 5.3 หมื่นล้านบาท มีโอกาสกลับมาเติบโตประมาณ 3-4% ด้วยแรงหนุนจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ซึ่งนักท่องเที่ยวจีนจะเดินทางเข้ามามากขึ้น ที่จะหนุนเศรษฐกิจและช่วยให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้น หลังจากปีที่แล้วหดตัว 7%

โดยหนึ่งในเทรนด์ที่มาแรงจะเป็นฟังก์ชั่นไอโอที หรือการสั่งงานผ่านอินเทอร์เน็ต-สมาร์ทโฟน และการกำหนดให้เครื่องใช้ไฟฟ้าทำงานแบบอัตโนมัติ หลังโครงการของรัฐและการใช้จ่ายแบบไร้สัมผัสผ่านแอป ทำให้ผู้บริโภคคุ้นเคยกับการใช้แอปบนสมาร์ทโฟนมากขึ้น เช่นเดียวกับฟังก์ชั่นด้านสุขภาพที่ยังได้รับความสนใจ รวมไปถึงความนิยมเครื่องซักผ้าฝาหน้าและเครื่องอบผ้าที่ผู้บริโภคคุ้นเคยจากการใช้งานร้านสะดวกซัก ทำให้มีการซื้อหามาใช้ในครัวเรือนมากขึ้นตามไปด้วย

“นอกจากการท่องเที่ยวที่เป็นปัจจัยตัดสินการฟื้นตัวของตลาดแล้ว ยังต้องจับตาการส่งออก เพราะเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัว โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาที่มีกระแสเศรษฐกิจถดถอย และยุโรปซึ่งยังมีสถานการณ์สงครามในยูเครน”

สำหรับทิศทางของไฮเออร์นั้น นายธเนศร์กล่าวว่าจะเดินหน้าเปิดตัวสินค้าใหม่ในทุกแบรนด์ ตามกลยุทธ์มัลติแบรนด์ หรือการใช้แบรนด์ทั้ง 4 คือ ไฮเออร์, แคนดี้, คาซาร์เต้ และอยู่ดี รุกชิงเม็ดเงินในเซ็กเมนต์ต่าง ๆ ตั้งแต่อแมสจนถึงพรีเมี่ยม โดยไฮเออร์ แคนดี้ และอยู่ดีจะเพิ่มความหลากหลายของไลน์อัพ พร้อมฟังก์ชั่นใหม่ ๆ เช่น เพิ่มรุ่นแอร์ที่มีระบบฆ่าเชื้อด้วยยูวี-ซี เพิ่มจำนวนรุ่นเครื่องซักผ้าฝาหน้าและตู้เย็นมัลติดอร์ เป็นต้น เพื่อชิงส่วนแบ่งตลาด ขณะที่คาซาร์เต้จะเน้นไอโอที และเพิ่มสินค้าทีวีเข้ามา นอกจากนี้ จะลงทุน 1,000 ล้านบาท ทำการตลาดเน้นการสื่อสาร สร้างการรับรู้ผ่านอินฟลูเอนเซอร์ เพิ่มช่องทางจำหน่าย และจัดกิจกรรมต่าง ๆ ต่อเนื่องตลอดปี ทั้งนี้ เป็นไปตามเป้าเพิ่มยอดขายจาก 1 หมื่นล้านบาทในปีที่แล้ว เป็น 1.2 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 20%

โหมกิจกรรมปลุกตลาด

ทิศทางนี้สอดคล้องกับโตชิบา ที่จะเน้นฟังก์ชั่นไอโอทีในสินค้าเช่นกัน โดยนายอเล็กซ์ มา รองประธานบริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด กล่าวว่า ช่วงต้นปี 2566 นี้จะโฟกัสขยายไลน์อัพและทำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฟังก์ชั่น IOT เป็นหลัก เนื่องจากขณะนี้ผู้บริโภคไทยรู้จักและเข้าใจการใช้งานเทคโนโลยีมากขึ้น เช่น การเปิดแอร์ก่อนกลับถึงบ้าน อีกทั้งต้นทุนของเทคโนโลยีไอโอทีต่ำลงจนอยู่ในระดับที่จับต้องได้ง่าย

โดยเตรียมยกทัพสินค้ามาเปิดตัวในหลายหมวด ทั้งไมโครเวฟ เครื่องฟอกอากาศ และเครื่องกรองน้ำที่มีฟังก์ชั่นไอโอที รวมถึงตู้เย็น 2 ประตูแบบช่องแช่แข็งด้านล่าง ตู้เย็นมัลติดอร์ ตู้เย็นไซด์บายไซด์ เครื่องซักผ้า ฯลฯ พร้อมกับไฮไลต์อย่างการนำฟังก์ชั่นที่เคยมีเฉพาะในเครื่องใช้ไฟฟ้าระดับบน-พรีเมี่ยมมาใส่ในรุ่นระดับกลาง เช่น ที่กดน้ำของตู้เย็น ซึ่งเดิมมีในรุ่นราคาสูงอย่างตู้เย็น 4 ประตู หรือมัลติดอร์ แต่บริษัทนำมาใส่ในตู้เย็น 2 ประตู และตั้งราคาประมาณ 9 พันบาท เป็นต้น

ด้านการทำตลาดจะเพิ่มกิจกรรมให้มากขึ้น ด้วยกลยุทธ์ O2O หรือออนไลน์ทูออฟไลน์ โดยสื่อสาร-จัดกิจกรรมบนโซเชียล ดึงผู้บริโภคไปที่ร้านค้า ซึ่งบริษัทจะเดินสายโรดโชว์ไปจัดกิจกรรมที่หน้าร้านค้าพร้อมกัน เพื่อสร้างการรับรู้และให้ผู้บริโภคจับต้องทดลองสินค้า ไปจนถึงการปิดการขาย เช่นเดียวกับปรับโฉมจุดจำหน่ายในร้านให้เน้นสินค้า IOT ตามไลน์อัพสินค้าใหม่ รวมถึงเพิ่มจำนวนสินค้าตัวโชว์ในหน้าร้านและพื้นที่โปรโมชั่นต่าง ๆ ของโมเดิร์นเทรดและร้านดีลเลอร์ให้มากขึ้น รวมถึงกำลังศึกษาโอกาสจัดโรดโชว์เน้นโปรโมตสินค้า IOT หลังมีสินค้าครบทุกหมวดและขนาดพร้อมที่จะทำการตลาดแบบเต็มที่แล้ว ขณะเดียวกัน ยังเตรียมจัดแคมเปญและสำรองสินค้าล่วงหน้าเพื่อรับมือดีมานด์ช่วงตรุษจีนไว้แล้ว

CES 2023 โชว์นวัตกรรมคึกคัก

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ล่าสุดในงาน CES 2023 ที่สหรัฐอเมริกา วันที่ 5-8 ม.ค. 2566 ซึ่งเป็นงานเทรดแฟร์เครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าเทคโนโลยีใหญ่ประจำปีนั้น บรรดาแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างนำสินค้าเด็ดมาโชว์กันอย่างคึกคัก ไม่ว่าจะเป็น แอลจี ที่นำโอแอลอีดีทีวี Signature OLED M ซึ่งมาพร้อมนวัตกรรมไร้สาย โดยสามารถรับสัญญาณภาพและเสียงจากกล่อง Zero Connect ที่วางห่างออกไป 9 เมตรได้ เท่ากับว่ามีสายเพียงปลั๊กไฟเท่านั้น นอกจากนี้ ไลน์อัพโอแอลอีดีทีวีเจน 3 (G3, B3, C3) ที่จะวางขายในปีนี้จะมีความสว่างสูงขึ้นอีกถึง 70%

เป็นไปในทิศทางเดียวกับซัมซุงที่ระบุว่า คิวดี-โอแอลอีดีทีวี (QD-OLED TV) รุ่นใหม่ของปี 2566 นี้จะสว่างกว่ารุ่นเก่าเกือบเท่าตัว หรือสูงสุด 2,000 Nits นอกจากนี้ ยังมีสินค้าสมาร์ทโฮมตัวใหม่อย่างฮับ หรือตัวควบคุมกลางที่เป็นแท่นชาร์จไร้สายได้ด้วย

ส่วนโซนี่ แม้ปีนี้จะไม่ได้เปิดตัวทีวีรุ่นใหม่ในงาน แต่เปิดตัวแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่พัฒนาร่วมกับฮอนด้าในชื่อ Afeela แทน หลังเผยคอนเซ็ปต์นี้เมื่อ 3 ปีก่อน พร้อมกำหนดการวางจำหน่ายในตลาดอเมริกาเหนือช่วงปี 2569 ด้านจุดขายเน้นระบบเอไอ และความบันเทิงในรถ รวมถึงระบบ VR และ AR ที่พัฒนาจากโนว์ฮาวของโซนี่