แพงแค่ไหนก็ไม่หวั่น “อเมริกัน” ดูสตรีมมิ่งสูงกว่าทีวี

สตรีมมิ่ง
คอลัมน์ : Market Move

แม้ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาบรรดาบริการสตรีมมิ่งจะราคาแพงขึ้นอย่างรวดเร็ว สวนทางกับความเป็นมิตรกับผู้บริโภคที่ลดลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ หลังผู้ให้บริการแต่ละรายงัดมาตรการโกยรายได้กันทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะเป็นขึ้นราคาแพ็กเกจ ใส่โฆษณาเข้ามา รวมถึงห้ามแชร์พาสเวิร์ดกับคนนอกครอบครัว ฯลฯ จนเสียงแสดงความไม่พอใจสะพัดไปทั่วโลกออนไลน์

แต่ในสหรัฐอเมริกากระแสความไม่พอใจนี้ ไม่ได้ทำให้วงการสตรีมมิ่งสะเทือนแต่อย่างใด เมื่อรายงานของบริษัทวิจัยชี้ว่า เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ชาวอเมริกันรับชมฟรีทีวีและเคเบิลทีวีแบบบอกรับสมาชิก หรือเพย์ทีวีน้อยกว่าบริการสตรีมมิ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีการรายงานสถิติแบบรายเดือนเมื่อปี 2021

ซีเอ็นบีซี รายงานถึงปรากฏการณ์สะเทือนวงการโทรทัศน์และเคเบิลทีวีนี้ว่า บริษัทวิจัยนีลเส็นเผยผลสำรวจการใช้งานทีวีของชาวอเมริกันในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา พบว่าการใช้งานทีวีเพื่อชมฟรีทีวีและเคเบิลทีวี รวมกันต่ำกว่า 50% เป็นครั้งแรก โดยการรับชมเคเบิลทีวีมีสัดส่วน 29.6% ส่วนการรับชมฟรีทีวีมีสัดส่วนเพียง 20% ในขณะที่การรับชมสตรีมมิ่งสูงถึง 39%

ข้อมูลนี้สอดคล้องกับสถานการณ์ของวงการธุรกิจเคเบิลทีวีของสหรัฐในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งชาวอเมริกันพากันยกเลิกแพ็กเกจเคเบิลทีวีและหันไปใช้งานแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน สะท้อนจากรายงานผลประกอบการของผู้ให้บริการเคเบิลทีวีรายใหญ่ อาทิ คอมแคสต์ และชาร์เตอร์ คอมมิวนิเคชั่น ที่ต่างรายงานตัวเลขยอดสมาชิกลดลงทุกไตรมาส โดยเพียงแค่ช่วงไตรมาส 2 ของปี 2023 นี้คอมแคสต์เสียสมาชิกไปอีก 5.43 แสนราย ส่วนชาร์เตอร์ คอมมิวนิเคชั่น เสียฐานสมาชิก 2 แสนราย

โดยรวมแล้วขณะนี้ผู้ให้บริการเพย์ทีวีในสหรัฐทุกรายเสียฐานสมาชิกรวมกันไป 9.6% เมื่อเทียบกับปี 2022 ซึ่งตัวเลขนี้เทียบได้กับจำนวน 4.4 ล้านครัวเรือน ความสูญเสียนี้ทำให้ช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมาจำนวนครัวเรือนที่จ่ายเงินรายเดือนให้ผู้ให้บริการเพย์ทีวีเหลือเพียง 4.1 ล้านครัวเรือน จาก 4.5 ล้านครัวเรือนในปี 2022 และ 50 ล้านครัวเรือนในปี 2021

“ทิม โนลเลน” นักวิเคราะห์อาวุโสด้านเทคโนโลยีสื่อของ Macquarie ระบุว่า ตัวชี้วัดทุกตัวของผู้ประกอบการทีวีแบบดั้งเดิมต่างออกมาย่ำแย่ และแม้แต่การทำราคาก็ไม่สามารถช่วยกู้สถานการณ์นี้ได้

สำหรับทิศทางของอุตสาหกรรมทีวีหลังจากนี้ยังคงไม่สดใสนัก เนื่องจากแม้บรรดาแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญจะพากันปรับยุทธศาสตร์ หันมาโฟกัสการเติบโตของรายได้ค่าบริการรายเดือนและผลกำไร แทนตัวเลขจำนวนสมาชิกอย่างในอดีต พร้อมกันกับความพยายามลดค่าใช้จ่ายเพื่อเพิ่มอัตรากำไร ด้วยการพร้อมใจกันปรับขึ้นราคาแพ็กเกจ เพิ่มโฆษณา จำกัดการแชร์พาสเวิร์ดกับคนนอกครอบครัว ลดต้นทุนการผลิตคอนเทนต์ออริจินอลลง

จนทำให้เสียจุดแข็งที่เป็นเหตุผลหลักที่ชาวอเมริกันใช้ตัดสินใจทิ้งเพย์ทีวีหันมาใช้บริการสตรีมมิ่ง อย่างค่าใช้จ่ายที่สบายกระเป๋า ประสบการณ์ใช้งานเป็นมิตร และคอนเทนต์ออริจินอลที่น่าติดตาม

แต่ดูเหมือนว่าการหันไปซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์จากผู้ผลิตรายหลักมาฉายแทนนั้นจะยังช่วยตรึงผู้ชมได้ไม่แพ้ปัจจัยราคา เห็นได้จากความสำเร็จของเน็ตฟลิกซ์ที่นำซีรีส์ “Suits” ซึ่งเป็นซีรีส์ฮิตของช่องเพย์ทีวี USA Network มาอยู่บนแพลตฟอร์ม จนทำให้เมื่อเดือนกรกฎาคมมีผู้ชมซีรีส์นี้บนเน็ตฟลิกซ์รวมกันนานถึง 1.8 หมื่นล้านนาที เช่นเดียวกับจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้น 4.2% ทำให้ยักษ์สตรีมมิ่งมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มเป็น 8.5%

ต้องรอดูกันว่าช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ทิศทางการเลือกรับชมทีวีของชาวอเมริกันและผู้บริโภคทั่วโลกจะเป็นอย่างไรต่อไป