ตลาดยาโตสะพรั่ง 1.7 แสนล้าน ผู้ผลิตแห่โกอินเตอร์บุกตลาดใหม่ CLMV

ตลาดยา 1.77 แสนล้านโตลิ่ว ไทยขึ้นแท่นเบอร์ 2 ผู้ผลิตรายใหญ่ของอาเซียนรองแค่อินโดฯ เตรียมขยายตลาดส่งออกลุยซีแอลเอ็มวีตลาดใหม่ตลาดอนาคต ชี้เร่งผลักดันโรงงานผลิตให้ครบเครื่องต้นน้ำยันปลายน้ำ

การขยายตัวของอุตสาหกรรมยาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงเมืองไทยที่มีมูลค่าตลาดยาโดยรวมค่อนข้างสูง เป็นเบอร์ 2 ของภูมิภาครองจากอินโดนีเซีย ด้วยบริษัทผู้ผลิตกว่า 150 บริษัท และร้านขายยาที่ครอบคลุมทั่วประเทศกว่า 12,000 แห่งเป็นตัวผลักดัน

และไม่เพียงการเติบโตของตลาดในประเทศ ทิศทางจากนี้คือการเปิดตลาดซีแอลเอ็มวีซึ่งเป็นตลาดใหม่ที่มีศักยภาพการขยายตัวสูงมาก ที่สำคัญสินค้าจากเมืองไทยได้รับการยอมรับในคุณภาพและความเชื่อถือ

1.77 แสนล้านโตลิ่ว

ภก.รศ.ดร.สินธุ์ชัย แก้วกิติชัย นายกเภสัชกรรมสมาคมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมยาแผนปัจจุบันในไทยมีมูลค่าประมาณ 5.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ (หรือประมาณ 1.77 แสนล้านบาท) มีโอกาสขยายตัวอีกมาก เพราะตลาดยาในประเทศยังมีมูลค่าที่เล็กและยังโตได้อีก ขณะเดียวกันโอกาสสำคัญของผู้ผลิตยาในไทยคือตลาดส่งออกโดยเฉพาะประเทศในกลุ่มซีแอลเอ็มวี ประกอบด้วย ลาว เวียดนาม กัมพูชา และเมียนมา เนื่องจากประเทศเหล่านี้มีความเชื่อมั่นในคุณภาพและศักยภาพด้านการผลิตยาของไทยเป็นอย่างดี

ด้วยแนวโน้มที่เกิดขึ้นล่าสุด สมาคมได้ลงนามร่วมกับยูบีเอ็มและทีเส็บ เตรียมนำงาน “CPhI South East Asia 2019” มาจัดที่ไทยเป็นครั้งแรกระหว่างวันที่ 6-8 มีนาคม 2562 ซึ่งงานดังกล่าวจะรวมผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการผลิตยาจากหลาย ๆ ประเทศเข้าด้วยกัน เช่น ด้านส่วนผสมวัตถุดิบยา แพ็กเกจจิ้ง นวัตกรรมการผลิตยาใหม่ ๆ เป็นต้น

“คาดว่างานนี้จะทำให้ผู้ผลิตยาในไทยได้ส่วนผสมและวัตถุดิบยาจากแหล่งใหม่ ๆ เพื่อนำมาผลิตยาคุณภาพในการรักษาโรค และเพิ่มศักยภาพให้แก่ผู้ผลิตยาได้ขยายธุรกิจต่อไปยังตลาดส่งออกมากขึ้นในอนาคต”

ดีมานด์ 1.2 หมื่นร้านขายยา

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันผู้ประกอบการในตลาดยาแบ่ง 2 ส่วน คือ หน่วยงานรัฐที่มีองค์การเภสัชกรรมเป็นหัวหอกหลักในการรุกตลาด และผู้ประกอบการภาคเอกชน ที่มีทั้งผู้ผลิตในไทยและบริษัทผู้ผลิตยาข้ามชาติ โดยมีโรงงานผลิตยาที่ได้มาตรฐานประมาณ 150 บริษัททั่วประเทศ และมีร้านขายยาแผนปัจจุบันที่มีเภสัชกรประจำร้านทั่วประเทศประมาณ 12,000 ร้าน

“อุตฯยาแผนปัจจุบันของไทยส่วนใหญ่เป็นการผลิตยาสำเร็จรูป โดยผู้ผลิตจะนำเข้าวัตถุดิบจากอินเดียและจีนเข้ามาผสม และผลิตเป็นยาสำเร็จรูปในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้ในการรักษา แตกต่างจากอินเดียและจีนที่มีการผลิตยาตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ซึ่งรูปแบบการผลิตยาของไทยถือเป็นข้อเสียของอุตฯนี้ เพราะถ้ามีปัญหาด้านวัตถุดิบ โรงงานในไทยก็จะไม่สามารถผลิตยาได้ นั่นหมายถึงการสูญเสียโอกาสในหลาย ๆ ด้าน ดังนั้นรัฐบาลควรจะต้องเข้ามาสนับสนุนในอุตฯนี้ด้วย”

ไทยเบอร์ 2 รองแค่อินโดฯ

สอดรับกับนางสาวรุ้งเพชร ชิตานุวัตร์ ผู้อำนวยการกลุ่มโครงการ-ภูมิภาคอาเซียน บริษัท ยูบีเอ็ม เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด ผู้จัดงานแสดงสินค้า นวัตกรรมต่าง ๆ กล่าวว่า ด้วยแนวโน้มการขยายตัวของอุตสาหกรรมยาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เพิ่มมูลค่าขึ้น รวมถึงประเทศไทยที่มีมูลค่าตลาดยาโดยรวมค่อนข้างสูงหรือคิดเป็นเบอร์ 2 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากอินโดนีเซีย ล่าสุดบริษัทเตรียมจะจัดงานแสดงสินค้า เทคโนโลยี และการประชุมด้านส่วนผสมยาสำหรับเภสัชอุตสาหกรรมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ “CPhI South East Asia 2019” ที่ไทย เนื่องจากมีความพร้อมด้านศักยภาพและปัจจัยสนับสนุนที่จะเติบโตในฐานะผู้ผลิตยาระดับแนวหน้าของโลกต่อไป

ขณะเดียวกันงาน CPhI ถูกจัดขึ้นเป็นประจำในประเทศที่ได้รับการยอมรับด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม อย่างกลุ่มประเทศยุโรป จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ที่มีชื่อเสียงด้านงานวิจัยยาและการผลิตยาอยู่แล้ว แต่ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาได้มีเข้ามาจัดงานนี้ที่อินโดนีเซีย เพราะตลาดยาอินโดนีเซียมีมูลค่ามากเป็นอันดับ 1 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากจำนวนประชากรที่มากเป็นอันดับ 4 ของโลก เพื่อรองรับความต้องการและการเติบโตของอุตสาหกรรมยาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากเป็นภูมิภาคที่มีการเติบโตทางการตลาดและมีศักยภาพสูง จากกลุ่มประชากรทั้งหมดกว่า 560 ล้านคน

“ต่อไปงาน CPhI South East Asia จะถูกจัดสลับกันระหว่างอินโดนีเซียและไทย เพราะเป็นประเทศที่มีตลาดขนาดใหญ่ทั้งคู่ โดยอินโดนีเซียจะเน้นเป็นการยกระดับคุณภาพยาและการอัพเดตองค์ความรู้เพื่อผลิตสำหรับการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก ส่วนไทยจะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนา การใช้งานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อส่งออกไปต่างประเทศ ซึ่งไทยมีสัดส่วนการส่งออกรวมกันมากถึง 57% ของการส่งออกยาทั้งหมด”


และการจัดงาน CPhI ที่ไทยจะช่วยเพิ่มคุณค่าและมูลค่าของยานอกเหนือจากการผลิตยาสามัญ (generic drug) และเปิดโอกาสให้เกิดผู้ผลิตรายใหม่ เพื่อตอบรับกับการส่งออกและบริโภคในประเทศที่ขยายตัวขึ้น อีกทั้งช่วยสนับสนุนและโปรโมตธุรกิจในอุตสาหกรรมยาของไทยผ่านทางเครือข่ายพันธมิตรทั่วอาเซียนด้วย