REBORN FLYNOW “แฟชั่นไทย” ต้องไป “แฟชั่นโลก”

สัมภาษณ์

FLYNOW ชื่อนี้เป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีของคนในวงการแฟชั่น ในฐานะห้องเสื้อแบรนด์ไทยยุคบุกเบิกที่อยู่คู่กับวงการแฟชั่นมานานถึง 4 ทศวรรษ

เมื่อเร็ว ๆ นี้ “ประชาชาติธุรกิจ” ได้มีโอกาสนั่งพูดคุยกับ “สมชัย ส่งวัฒนา” ผู้ก่อตั้ง FLYNOW แฟชั่นแบรนด์ไทยให้โด่งดังและไปเฉิดฉายอยู่บน runway งานแฟชั่นวีกระดับโลกมาแล้ว ที่แฟลกชิปสโตร์ ที่ชั้น 2 เกษร วิลเลจ ซึ่งเพิ่งตัดริบบิ้นเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา

วันนี้ แม้วัยจะใกล้ครบ 64 แล้ว แต่ “คุณลิ้ม สมชัย” ยังแข็งแรง กระฉับกระเฉง ที่สำคัญคือ ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและความมุ่งมั่น โดยเฉพาะงานแฟชั่นที่เขารักเป็นชีวิตจิตใจ

“ฟลายนาว” ในร่างใหม่

“คุณลิ้ม-สมชัย” เริ่มต้นการสนทนาถึงการกลับมาเปิดแฟลกชิปสโตร์ว่า “…ถ้าเทียบอายุการทํางานทางด้านแฟชั่น ตอนนี้ผมก็ 64 ปีแล้ว เริ่มทําเสื้อผ้ามาตั้งแต่ 20 ปี อยู่กับวงการเสื้อผ้ามาค่อนชีวิต เป็นลูกจ้างเขาอยู่ 2-3 ปี แล้วก็มาทำ FLYNOW เอง ถึงปีนี้ก็ครบรอบ 40 ปี ก็ตกลงกับตัวเองว่าถ้ายังมีแรงไหว ก็จะทำงานครบรอบ 40 ปี แต่ว่าเนื่องจาก 40 ปี ตอนนี้เหลืออีกไม่กี่เดือนแล้ว พอดีมีนาคมปีหน้าจะเป็นวันเกิดผม คิดอยู่ในใจว่า เป็นการฉลองครบรอบ 40 ปี แต่ไม่ใช่ 40 ปี แต่เป็น 40.3 ก็คือจัดขึ้นในเดือนมีนาคม”

“ถามว่าจัดเพื่ออะไร ที่จริงมันก็แค่เราได้ทบทวนชีวิตการเดินทางว่า 40 ปีที่ผ่านมา เราเดินทางเป็นยังไงบ้าง พูดง่าย ๆ มันเป็นความอยาก ตอนเป็นหนุ่มก็อยากจะเกษียณสัก 50 คงจะเท่ แต่พอซ้อมเกษียณดูปรากฏว่าไม่เวิร์ก ถ้าหยุด ไม่มีงานทํา รู้สึกว่าจิตใจห่อเหี่ยว ในแต่ละวันมันไม่มีค่า เลยต้องออกมาทํางาน ทําไปทํามามันก็สนุก ทุกวันก็ยังสนุกกับงานอยู่”

“ผมถามตัวเองว่า 60 แล้วจะทําอะไร ตอนนั้นเจอโควิดพอดี เรียกว่าฟ้าฟาดเปรี้ยง และโควิดก็ไม่ยอมจากไปเสียที แต่ 3 ปีนี่เอาเรื่องนะ และพอสะเด็ดปุ๊บ เราก็กลับมาสํารวจตัวเองว่า มีอะไรเสียหาย มีอะไรต้องแก้ไขปรับปรุง สํารวจจิตใจว่าเป็นไงบ้าง สู้ไหวมั้ย ถ้าไม่สู้ก็เลิก แต่ว่าบังเอิญว่าใจมันสู้ อาจจะด้วยความรัก การที่เราทํางานในสิ่งที่เรารักมันสําเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้วนะ”

คุณลิ้มเล่าให้ฟังด้วยว่า “ตอนนั้นเสียหายเยอะ โดยเฉพาะบุคลากร เพราะต้อง scale down คนจากกว่า 600 คน ให้เหลือราว ๆ 150 คน ซึ่งตอนที่โควิดมา เราคิดว่าเมื่อจบลง ฟลายนาว จะมีการ rebrand แต่พอโควิดจบ ดูแล้ว rebrand คงจะไม่เวิร์ก เลยคิดว่า งั้น reborn ก็แล้วกัน แต่การเกิดใหม่ จะเกิดแบบไหนล่ะ เพราะว่า 40 ปี ก็ทํามาเกือบทุกท่าแล้ว เห็นมาเกือบทุกเรื่อง เลยคิดว่าต้องเกิดใหม่ ในรูปแบบที่เป็นการทําลายบางอย่างในตัวเราเพื่อสร้างสมดุลใหม่”

พร้อมกันนี้ยังได้อธิบายว่า “…ฟลายนาว เกิดมาในยุคเบบี้บูมเมอร์ ลูกค้าสมัยก่อนก็คือ เบบี้บูมเมอร์ บวก เจนเอ็กซ์ (คนรุ่นที่เกิดหลังยุคเบบี้บูมจบลง) แต่ตอนนี้คนยุคเบบี้บูมเมอร์ก็เหลือน้อยแล้วดังนั้นเราก็ต้องคุยกับ เจนวาย เจนแซด และเจนมิลเลเนียม”

“มันจะดีมากเลย ถ้าเราใช้ร่างใหม่ในชุดเดิม หากเมื่อเดินเข้ามาในร้านฟลายนาว หรือเสื้อผ้าฟลายนาว ก็จะรู้เลยว่าแบบนี้เป็นฟลายนาวแน่ ๆ แต่ร่างใหม่ที่ว่าก็คือ ทีมงาน ที่ฟลายนาวเดินทางถึงวันนี้ เราได้เปลี่ยนดีไซเนอร์ไป 3-4 เจนแล้ว วันนี้เจนใหม่เรามีอายุประมาณ 30 ปี ขณะที่ทีมช่าง ส่วนใหญ่จะมีอายุการทำงานเฉลี่ย 25 ปีอัพ ช่างแพตเทิร์น ช่างเย็บ พวกนี้ยิ่งเก่ายิ่งดี”

“เกิดใหม่”…ต้องดีกว่าเดิม

“สมชัย” ยังให้ข้อมูลด้วยว่า “…ถามว่าการรีสตาร์ตใหม่ของ ฟลายนาว ทําไมต้อง เกษร จริง ๆ แล้ว ฟลายนาว เคยมีแฟลกชิปที่ เกษร มากว่า 20 ปี แล้วก็ว่างเว้นก็ไม่ได้ joint งานกัน และเนื่องจากฟลายนาวต้องการลูกค้า V.I.P. และต้องการพื้นที่ที่มีความเป็น private เราจึงมาเริ่มต้นใหม่ที่ เกษร โดยคอนเซ็ปต์ร้านเน้นโทนสีขาว จากปกติฟลายนาวจะเน้นสีที่ดูคลาสสิก น้ำตาลอมดําตัดทองและมีการดีไซน์คล้าย ๆ มิวเซียม เพื่อตอบโจทย์โปรดักต์ที่มีความ luxury และแฟลกชิปยังมีพิเศษตรงที่ว่า ลูกค้าสามารถวัดตัวตัดได้ สามารถที่จะมีส่วนร่วมกับดีไซเนอร์ เพื่อจะร่วมกันบรรจงสรรค์สร้างงานที่เป็นตัวคุณ เพื่อให้ลูกค้าสามารถร่วมออกแบบเพื่อให้ได้ชิ้นงานที่ตรงใจที่สุด”

“ตอนนี้ลูกค้าประจําก็เริ่มกลับมา ทั้งลูกค้าตะวันออกกลาง ยุโรป เอเชีย เริ่มมี walk-in เข้ามา ตอนนี้ออร์เดอร์ตัดน่าจะยาวไปอีก 3 เดือนข้างหน้า”

“คุณลิ้ม” ยังย้ำว่า “การกลับมาครั้งนี้เราไม่ต้องมีสาขามาก ๆ แต่จะเน้นคุณภาพ เพื่อให้การดูแลและบริการลูกค้าให้ดีที่สุด จํานวนไม่สําคัญเท่ากับคุณภาพ ถ้าเป็นไปได้ ฟลายนาวคงจะมีแฟลกชิปที่เดียว หรือถ้าผมขยันมากก็อยากจะมี ฟลายนาวเฮาส์ ที่อาจจะเป็นการรวมเอา ร้านอาหารดี ๆ งานอาร์ตดี ๆ มีการเวิร์กช็อป มีพันธมิตรที่เอาของมาร่วมกันขาย ฯลฯ แต่ว่าถ้าถามเวลานี้เหมาะมั้ย ผมว่ารอหน่อยดีกว่า ในยามนี้เราตั้งใจกับปัจจุบันให้ดีที่สุดน่าจะดีกว่า”

เมื่อถามถึงความคาดหวังในการรีบอร์นครั้งนี้ แม่ทัพใหญ่ ฟลายนาว ย้ำว่า “…ในแง่ความคาดหวังก็คงมี ‘เกิดใหม่’ ความหมายคือ ต้องดีกว่าเดิม ในแง่การทํางานเราจะตั้งใจทํางานให้ดีกว่าเดิม แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า ลูกค้าจะชอบหรือมองว่าดีกว่าเดิมหรือไม่ อันนี้เป็นจุดที่เราต้องเรียนรู้ซึ่งกันและกันไป”

“อย่างไรก็ตาม คุณต้องจําไว้ว่าถ้ามันไม่ดีขึ้น คุณอย่าเสียใจ เพราะถ้าคุณเสียใจ คุณจะหมดกําลังใจ เพราะถ้ามันยังไม่ดี เราก็ต้องค้นหาต่อ แต่ผมคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่คือ เราต้องดูแล เฝ้าสังเกต แล้วก็ฟังเสียงวิจารณ์ การกลับมาครั้งนี้ฟลายนาวกลับมาด้วยใจ หลังจากที่เรามุ่งมั่น วิริยะ อุตสาหะ แล้วก็ต้องน้อมรับความจริง อะไรที่ไม่ดีก็ต้องแก้ไขให้ดี”

“เชื่อว่าหลังจากนี้ไปจะต้องดีขึ้น คําว่าดีขึ้นของผม ไม่ได้หมายความว่าผมต้องรวยขึ้น แต่หวังว่าจะมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นในตัวเรา ทีมของเรา รวมถึงสังคมด้วย”

จากซอฟต์พาวเวอร์ ถึง BIFW

นอกจากนี้ “คุณลิ้ม สมชัย” ยังแสดงทรรศนะถึงประเด็นที่เป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ “ซอฟต์พาวเวอร์” ว่า “…ประเทศไทยแม้จะไม่ได้เป็น trend setter ของวงการแฟชั่น แต่ประเทศไทยมีเสน่ห์เรื่องงานดีไซน์ งานครีเอทีฟ ความคิดสร้างสรรค์ มีสปิริตในเรื่องของศิลปะ ดนตรี อาหาร แฟชั่น ดีไซน์ ฯลฯ ที่ไม่แพ้ชาติใด ๆ ในโลก เพียงแต่นโยบายหรือการส่งเสริมที่อาจจะยังไม่ตรงกับยุทธศาสตร์ จึงทำให้ขาดโอกาสในการนําเสนอผลงานไปสู่ในระดับสากล”

“การที่รัฐบาลของท่านนายกฯ (เศรษฐา ทวีสิน) กําหนดนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ขึ้นมา ผมเชื่อว่าจะมีการเจียระไนเพชรน้ำงามในวงการให้เปล่งประกายออกมา และถ้าเป็นเช่นนั้น วงการแฟชั่นไทยมีความคึกคักขึ้นแน่นอน ผมเชื่อว่าคนไทยเราฝีมือไม่แพ้ใครหรอก แต่เราแพ้เรื่องโอกาสเท่านั้นเอง ผมเชื่อท่านนายกฯ เชื่อในทีมที่ปรึกษาที่ประกาศแต่งตั้งขึ้นมา ว่าจะนําพาไปสู่จุดดังกล่าวได้แน่นอน”

หรืออย่างงาน Siam Paragon Bangkok International Fashion Week 2023 ที่จะมีในต้นเดือนนี้ (5-8 ตุลาคม) ก็ต้องขอบคุณสยามพารากอนและผู้เกี่ยวข้อง ที่เป็นการผนึกกำลังกันของ 12 แบรนด์ไทยระดับแนวหน้าร่วมประกาศศักยภาพแฟชั่นไทยสู่สายตาโลกผ่านแฟชั่นโชว์ เป็นเรื่องที่ดีสำหรับวงการแฟชั่น และอยากจะเห็นการร่วมกันผลักดันให้ BIFW ได้รับการบรรจุไว้ในปฏิทินแฟชั่นโลก จากที่มีเพียง ปารีส ลอนดอน มิลาน นิวยอร์ก ส่วนเอเชียก็มี เซี่ยงไฮ้

“จริง ๆ แล้ว BIFW เมืองไทยทำมานานแล้ว แต่ตอนหลัง ๆ ค่อย ๆ fade out ไป วันนี้ถ้า BIFW กลับมาได้และสามารถที่จะช่วยกันผลักดันให้เข้าไปอยู่ในปฏิทินของแฟชั่นสากลได้ ผมว่ามันจะสนุกสนานมาก และจะเกิดพลังงานบางอย่างที่ช่วยจุดประกายวงการแฟชั่นขึ้นมาอีกมาก สําหรับคนที่เดินทางมา 64 ปีแล้วก็แอบมีความสุขนะ” ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ ฟลายนาว ย้ำในตอนท้าย