สมาคมผู้ค้าปลีกเผยดัชนีค้าปลีก ธ.ค. 66 โตน้อย ชงรัฐกรุยทางสินเชื่อเอสเอ็มอี

นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์
นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย เผยดัชนีค้าปลีก ธ.ค. 2566 โตน้อย มองภาพรวมค้าปลีกครึ่งหลังปี 2567 จะเริ่มส่งสัญญาณบวก พร้อมชงรัฐกรุยทางสินเชื่อเอสเอ็มอี เร่งเครื่องท่องเที่ยว ปฏิรูปมาตรการป้องสินค้าข้ามแดน

วันที่ 19 มกราคม 2567 นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกทั่วประเทศ (Retail Sentiment Index-RSI) ในเดือนธันวาคม 2566 เพิ่มขึ้นทุกองค์ประกอบและทุกภูมิภาค จากการจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขายของร้านค้าและบรรยากาศส่งท้ายปลายปีที่ช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคให้คึกคักในระดับหนึ่ง โดยปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

ขณะที่ไตรมาสแรกปี 2567 ปรับเพิ่มขึ้นแต่ไม่มาก จากอานิสงส์มาตรการ Easy E-Receipt และแคมเปญการตลาดช่วงเทศกาลตรุษจีน อย่างไรก็ตามหากพิจารณาภาพรวมตลอดปี 2566 ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกทั่วประเทศ พบว่ายังเป็นการฟื้นตัวแบบไม่สมดุลในลักษณะ K-shaped โดยส่วนที่ฟื้นตัว ได้แก่ กลุ่มห้างสรรพสินค้า-แฟชั่นความงาม-ไลฟ์สไตล์ ร้านสะดวกซื้อ และซูเปอร์มาร์เก็ต

และอีกส่วนหนึ่งยังไม่ฟื้นตัวคือ กลุ่มค้าปลีกไฮเปอร์มาร์เก็ต (Hypermarket) และกลุ่มค้าส่ง-ค้าปลีกภูธร (Local Modern Store) ด้านกลุ่มที่ทรงตัวเป็นกลุ่มวัสดุก่อสร้าง-ตกแต่งและซ่อมบำรุง, สมาร์ทโฟน และไอที โดยเมื่อจำแนกตามภูมิภาค พบว่าเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และจังหวัดท่องเที่ยวจะฟื้นตัวได้ดี ส่วนภูมิภาคอื่น ๆ ยังชะลอตัว ยกเว้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ซึมยาวสะท้อนถึงกำลังซื้อยังคงอ่อนแอ

สำหรับทิศทางภาพรวมธุรกิจค้าปลีกและบริการในปี 2567 สมาคมผู้ค้าปลีกไทยคาดว่าจะมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 4.4 ล้านล้านบาท เติบโตราว 3-5% เมื่อเทียบกับ GDP ในปี 2567 ที่คาดจะเติบโต 3.5-4.4% โดยมองว่ากลุ่มธุรกิจแบบมีหน้าร้าน (Store-Based Retailing) จะกลับมามีมูลค่าเท่าก่อนช่วงโควิด-19 ส่วนแบบที่ไม่มีหน้าร้าน (Non-Store Retailing) เช่น การขายผ่านออนไลน์ (e-Commerce), การขายผ่านตู้อัตโนมัติ (Vending Machine) ฯลฯ ยังคงเติบโตต่อเนื่อง

ชงรัฐกรุยทางสินเชื่อเอสเอ็มอี

อย่างไรก็ตาม ทางสมาคมผู้ค้าปลีกไทยขอเสนอแนะแนวทางเพื่อการกระตุ้นภาพรวมค้าปลีกและบริการต่อภาครัฐ อาทิ

1.ลดความเลื่อมล้ำและสนับสนุนให้เกิดการแข่งขันในการเข้าถึงสินเชื่อเอสเอ็มอี เช่น

  • เปิดตลาดภาคการเงินเสรีให้มีสถาบันการเงินใหม่ ๆ เข้าสู่ระบบเพื่อให้เกิดการแข่งขันด้านดอกเบี้ย
  • เปิดเผยเชื่อมโยงข้อมูลทางการเงินที่โปร่งใส เพื่อให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ระหว่างผู้บริการทางการเงิน และผู้ขอสินเชื่อ รวมทั้งใช้ระบบ Risk Based Management ในการวัดระดับความเสี่ยงของการอนุมัติการขอสินเชื่อ
  • เร่งจัดหากองทุน Soft Loan ดอกเบี้ยต่ำ สำหรับเอสเอ็มอีในเงื่อนไขไม่ซับซ้อน เข้าถึงง่าย เพื่อลดต้นทุน และเพิ่มความคล่องตัวทางการเงิน

2.อนุมัติเพิ่มการจ้างงานรูปแบบใหม่ ได้แก่ การจ้างงานอิสระ การจ้างงานประจำรายชั่วโมง โดยกำหนดค่าจ้างตามระดับคุณวุฒิวิชาชีพตามมาตรฐานของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ เพิ่มเติมจากการพิจารณาค่าแรงขั้นต่ำ
เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานภาคปลีกและบริการ อีกทั้งควรส่งเสริมการพัฒนาทักษะแรงงาน Upskill Reskill ควบคู่ไปด้วย

3.ออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยมีเงื่อนไขที่ชัดเจนครอบคลุมทุกกลุ่ม ด้วยการจัดแคมเปญกระตุ้นการท่องเที่ยว ชูจุดเด่นซอฟต์พาวเวอร์ พร้อมให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวเมืองรอง เพื่อให้เกิดการสร้างงานและกระจายรายได้ตามภูมิภาคต่าง ๆ

4.สร้างการแข่งขันที่เป็นธรรม ด้วยมาตรการป้องกันสินค้านำเข้าราคาถูกจากจีน โดยเฉพาะการจำหน่ายบนอีคอมเมิร์ซ เพื่อไม่ให้กระทบกับโครงสร้างราคาสินค้าเอสเอ็มอีของไทย เช่น

  • กำหนดให้มีการจดทะเบียนบริษัทอย่างถูกต้อง และมีนโยบายที่ชัดเจนด้านสินค้าและการบริการ เช่น สินค้าปลอมหรือไม่ได้มาตรฐาน รวมถึงสินค้าที่ไม่ถูกต้องตามศีลธรรม
  • ปรับรูปแบบการเก็บภาษีออนไลน์เป็นข้อมูลธุรกรรมที่เกิดขึ้นจริง (Transaction-Based) โดยแพลตฟอร์มออนไลน์ควรต้องเป็นผู้เก็บภาษีทุกครั้งที่มีการซื้อขาย
  • เพิ่มมาตรการเก็บภาษีสินค้า Grey Market ซึ่งส่งผลให้ภาครัฐสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษี รวมทั้งเกิดความไม่เป็นธรรมทางการค้าของผู้ประกอบการในประเทศ

ผลกระทบอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ยังมีบทสรุประเด็นเกี่ยวกับ “อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นและการขอสินเชื่อ” ของผู้ประกอบการที่สำรวจระหว่างวันที่ 18-25 ธ.ค. 2566 ดังนี้

1.ผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น

  • 68% ธุรกิจได้รับผลกระทบ แบ่งเป็น 63% ภาระหนี้เพิ่มขึ้นแต่ยังสามารถชำระได้ตามปกติ แม้ว่าภาระหนี้ที่มีอยู่จะเพิ่มขึ้น และอีก 5% อาจผิดนัดชำระหนี้, ขอปรับโครงสร้างหนี้, ขอยืดเวลาชำระหนี้
  • 32% ธุรกิจไม่ได้รับผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น

2.อุปสรรคในการขอสินเชื่อจากสถาบันทางการเงิน

  • 45% ธุรกิจต้องเผชิญอุปสรรคในการเข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันทางการเงินมากขึ้น แบ่งเป็น 36% สถาบันทางการเงินใช้เวลาพิจารณาสินเชื่อนานขึ้นและปรับ Margin อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น, 6% ได้วงเงินสินเชื่อลดลง, 3% ปรับเงื่อนไขการกู้เข้มงวดมากขึ้น
  • 55% ธุรกิจไม่ได้รับผลกระทบในการเข้าถึงสินเชื่อ

ค้าปลีกครึ่งหลังปี’67 เริ่มสดใส

อย่างไรก็ตาม สมาคมผู้ค้าปลีกไทย มองว่าภาพรวมค้าปลีกและบริการในปี 2567 โดยเฉพาะครึ่งปีหลังจะเริ่มส่งสัญญาณบวก แต่ยังต้องอาศัยแรงหนุนจากภาครัฐในการผลักดันโครงการและมาตรการต่าง ๆ ในทุกมิติอย่างเป็นรูปธรรม ชัดเจน มุ่งเป้าตรงจุด เพื่อให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ในระยะยาวอย่างมีศักยภาพ

โดยสมาคมพร้อมให้ความร่วมมือกับทุกภาคส่วน และยินดีสนับสนุนภาครัฐอย่างเต็มกำลัง เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนอนาคตค้าปลีกและบริการยุคใหม่ของไทยให้กลับมาเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย