
“วริษฐา สืบพันธ์วงษ์” ผู้ก่อตั้งและเจ้าของแบรนด์สกินแคร์ MizuMi และอาหารเสริม Bomi เผยกลยุทธ์ปั้นแบรนด์จากศูนย์สู่รายได้ 1,000 ล้าน ผ่านการเสริมความแข็งแกร่งขององค์กร ขยายพอร์ตสินค้า และรุกตลาดต่างประเทศ เพื่อก้าวสู่รายได้ 2,000 ล้าน และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ในงานสัมมนา The Entrepreneur Forum 2025 ภายใต้หัวข้อ “Reaching a Billion Milestone-ปั้นแบรนด์ให้รายได้ถึง 1,000 ล้าน ระหว่างทางเจออะไร” จัดโดยลงทุนแมน
สร้างแบรนด์จาก Pain Point
“วริษฐา” กล่าวว่า การบริหารธุรกิจให้เติบโตไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของการเพิ่มยอดขาย แต่เป็นการสร้างความแข็งแกร่งขององค์กรด้วยการพัฒนาบุคลากร การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ และการเข้าใจลูกค้าอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นแนวคิดสำคัญที่ช่วยให้ MizuMi ก้าวขึ้นมาเป็นแบรนด์ชั้นนำในตลาดสกินแคร์ของประเทศไทยในปัจจุบัน
ทั้งนี้ สะท้อนจากจุดเริ่มต้นของการทำธุรกิจเมื่อ 10 ปีก่อน ที่เกิดจากความชอบและแพสชั่นส่วนตัว ที่ต้องการพัฒนาครีมกันแดดที่เหมาะกับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย หลังพบว่าในตลาดยังไม่มีผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ในกลุ่มนี้ จึงทำให้ตัดสินใจออกมาทำธุรกิจของตัวเอง โดยผลิตภัณฑ์ตัวแรกคือ “ครีมกันแดดหลอดฟ้า” ภายใต้แบรนด์ MizuMi
ส่วนการทำตลาดนั้น เนื่องจากในช่วงเริ่มต้นแบรนด์ยังไม่มีเงินทุนมากนักจึงเน้นสร้างการรับรู้ด้วยการเดินสายออกบูทตามตลาดนัด ห้างสรรพสินค้า และออฟฟิศต่าง ๆ เพราะขณะนั้นโซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มออนไลน์ยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก รวมถึงส่งผลิตภัณฑ์ไปให้เหล่าอินฟลูเอนเซอร์ทดลองใช้แบบไม่มีค่าใช้จ่าย
กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้แบรนด์ MizuMi เติบโตอย่างก้าวกระโดดจนสามารถสร้างรายได้จาก 0 สู่ 100 ล้านบาทได้ในเวลาอันรวดเร็ว
ก้าวกระโดดด้วยโมเดิร์นเทรด
อย่างไรก็ตาม แม้จะทำรายได้ถึง 100 ล้านบาทแล้ว แต่ช่วงเวลาที่ท้าทายที่สุดของการทำธุรกิจแบรนด์ MizuMi คือ การผลักดันจากรายได้หลัก 100 ล้านบาทไปสู่ 1,000 ล้านบาท เพราะแม้สินค้าจะได้รับความนิยมแล้ว แต่ยังต้องหาทางให้ผู้บริโภคจำนวนมากที่สุดสามารถซื้อหาสินค้าของแบรนด์ได้สะดวกและทั่วถึง
โดยจุดเปลี่ยนสำคัญ คือ การนำสินค้าเข้าไปอยู่ในเชนร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ และการนำฟีดแบ็กจากผู้บริโภคมาพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ ตามแนวคิดการเข้าใจผู้บริโภคอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ แบรนด์ใช้การส่งสินค้าเข้าสู่เชนร้านค้าปลีกขนาดใหญ่และมีสาขาจำนวนมาก อย่าง Watsons ที่มีกว่า 400 สาขา และ 7-11 ที่มีกว่า 10,000 สาขาทั่วประเทศ ช่วยให้แบรนด์สามารถขยายฐานลูกค้าได้กว้างขึ้นอย่างรวดเร็ว จากเดิมที่เน้นช่องทางออนไลน์และร้านสินค้าความงามขนาดเล็ก
ด้านการพัฒนาสินค้าใหม่ อาศัยการทำ Social Listening เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากลูกค้าและนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของตลาด เช่น เมื่อพบว่าลูกค้าต้องการครีมกันแดดที่กันน้ำได้ แบรนด์ก็เร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ขึ้นมาตอบโจทย์ เสริมจากเดิมที่มีครีมกันแดดเนื้อบางเบาไม่กันน้ำ
แบรนด์ใช้เวลาเกือบ 3 ปี ไต่ระดับจากหลักร้อยล้านต้น ๆ สู่หลักร้อยล้านปลาย ๆ ก่อนที่จะทำรายได้แตะ 1,000 ล้านบาทได้ในที่สุด
ต่อยอดสู่สินค้าข้างเคียง
“วริษฐา” กล่าวต่อไปว่า เป้าหมายต่อไป คือ การขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน เพราะการก้าวจาก 1,000 ล้านบาท ไปสู่ 2,000 ล้านบาท จะต้องเผชิญความท้าทายที่แตกต่างจากเดิม เนื่องจากต้องรักษาฐานลูกค้าเดิมควบคู่ไปกับการขยายตลาดใหม่ ๆ
โดยกลยุทธ์หลักที่จะมาช่วยผลักดันการเติบโตได้อย่างมั่นคง จะเป็นการเพิ่มพอร์ตโฟลิโอของสินค้าให้หลากหลายยิ่งขึ้น อย่างหมวดหมู่ใหม่ที่เกี่ยวข้องกับความงามและสุขภาพ เพื่อเพิ่มมูลค่าการซื้อต่อครั้งของลูกค้า (Basket Size)
รวมถึงการขยายตลาดไปยังพื้นที่ที่ MizuMi ยังไม่เคยเข้าไปมาก่อน เช่น ตลาดต่างประเทศ
ปั้นบุคลากรกุญแจสำคัญ
นอกจากสินค้าและกลยุทธ์การตลาดแล้ว บุคลากรเป็นอีกปัจจัยสำคัญสำหรับการสร้างองค์กรธุรกิจที่แข็งแกร่ง โดยแบรนด์เน้นดึงดูดบุคลากรที่มีศักยภาพเข้ามาเสริมทัพ รวมถึงการพัฒนาทีมงานให้มีความสามารถในการขับเคลื่อนธุรกิจในระดับที่ใหญ่ขึ้น
ด้วยบุคลากรที่มีศักยภาพสูง จะสามารถสร้างกลยุทธ์ที่คมชัดขึ้น และใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งถือเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้สามารถเติบโตได้โดยไม่จำเป็นต้องขยายทีมงานอย่างมหาศาล สะท้อนจากปัจจุบันแบรนด์มีพนักงานเพียง 60 คนเท่านั้น