
ท็อปส์ มั่นใจปี 2568 จังหวะดีสินค้า Own Brand หลังเศรษฐกิจ-พฤติกรรมผู้บริโภคเป็นใจ สปีดธุรกิจขยายไลน์เพิ่มสินค้า 10 หมวด 500 รายการ ทั้งชา-กาแฟ, ผ้าอ้อมเด็ก ชูความคุ้มค่า-ราคาต่ำกว่าแบรนด์หลัก 10-30% และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมสยายปีกส่งออก 10 ประเทศอาเซียน-ตะวันออกกลาง-ยุโรป หวังดันยอดขายโตก้าวกระโดด 20%
นายธนวัตร จิรจริยาเวช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการพาณิชย์ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ฉายภาพว่า สินค้า Own Brand หรือสินค้าที่บริษัทเป็นผู้ผลิตและบริหารแบรนด์เองนั้นเป็นหมวดสินค้าที่มีศักยภาพสูงของวงการค้าปลีก จาก 4 ปัจจัยหลัก คือ สภาพเศรษฐกิจที่ทำให้ผู้บริโภคหันมาให้น้ำหนักกับความคุ้มค่าต่อราคา เช่น การที่ใช้งานได้ยาวนาน, รสชาติดี ฯลฯ ในราคาจับต้องได้ ขณะที่ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่เจน Y และเจน Z ที่ไม่ยึดติดกับสินค้าแบรนด์หลัก และสัดส่วนการใช้สินค้า Own Brand ในไทยที่ยังต่ำมากเมื่อเทียบกับตลาดโลกและอีกหลายประเทศ รวมถึงแนวโน้มที่สินค้าอุปโภคบริโภคเริ่มฟื้นตัวตามจีดีพีและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
สะท้อนจากตลาดสินค้า Own Brand ของประเทศไทยในปี 2567 มีมูลค่ากว่า 38,000 ล้านบาท และเติบโตถึง 11.3% สัดส่วนของตลาด Own Brand ประเทศไทยมีเพียง 4% ในขณะที่สัดส่วนของตลาด Own Brand ทั่วโลกมีสัดส่วนถึง 22% หรือสิงคโปร์ที่มีสัดส่วน 6% และฮ่องกง 14% ซึ่งสะท้อนถึงช่องว่างและโอกาสการเติบโตของธุรกิจนี้ในประเทศไทย
“ตั้งแต่ปี 2567 ผู้บริโภคไทยไม่เพียงให้ความสำคัญกับความคุ้มค่า แต่ยังเลือกซื้อสินค้าแบบมีจุดหมายชัดเจน เช่น ซื้อเมื่อของเดิมใกล้หมด หรือจำเป็นต้องใช้ หรือซื้อในช่วงมีโปรโมชั่น รวมไปถึงให้น้ำหนักกับประเด็นความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นด้วย”
ขยาย 500 รายการชิงดีมานด์
นายธนวัตรย้ำด้วยปัจจัยเหล่านี้จึงมั่นใจว่า ปี 2568 นี้เป็นโอกาสเหมาะสมที่จะขยายธุรกิจสินค้า Own Brand ของ Tops ซึ่งมีมากกว่า 80 แบรนด์ ทั้งผลิตในประเทศและนำเข้ารวมกว่า 50,000 รายการ ในระดับราคาเฉลี่ยต่ำกว่าแบรนด์ทั่วไปประมาณ 10-30% ไม่เพียงในไทยเท่านั้น แต่รวมไปถึงการขยายไปสู่ภูมิภาคอาเซียนด้วย หลังช่วง 3 ปีที่ผ่านมานำร่องส่งออกไปยัง 5 ประเทศ ประกอบด้วย จีน, เวียดนาม, กัมพูชา, สิงคโปร์ และสวิตเซอร์แลนด์ ไปก่อนแล้วและได้ผลตอบรับดี ตามเป้าผลักดันยอดขายสินค้า Own Brand ในปี 2568 ให้เติบโต 20% จากปกติเติบโตเฉลี่ย 10% ต่อปี
โดยจะโฟกัสการขยายพอร์ตสินค้าเพิ่มอีก 10 หมวด รวมกว่า 500 รายการ เน้นกลุ่มที่มีการใช้งานต่อเนื่อง และสินค้าจากแบรนด์หลักราคาค่อนข้างสูง เพื่อให้มีโอกาสขายสูงและตอบโจทย์ด้านกำลังซื้อของผู้บริโภค อาทิ กลุ่มชา-กาแฟ, ผ้าอ้อมเด็ก, สินค้าทำความสะอาดบ้าน เป็นต้น ทั้งนี้ ในการทำตลาดจะมีหัวหอกเป็น 4 แบรนด์หลัก คือ My Choice (มาย ช้อยส์) ที่รวมสินค้าอาหารระดับบน เช่น เชอรี่และน้ำมันมะกอกนำเข้า, TOPS (ท็อปส์) สินค้าระดับกลาง และ SmarteR (สมาร์ตเตอร์) สินค้าอุปโภคระดับพื้นฐาน เช่น ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด, ถุงขยะ ฯลฯ
ส่งออกเพิ่ม 5 ประเทศ
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการพาณิชย์ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล กล่าวต่อไปว่า สำหรับการส่งออกสินค้า Own Brand นั้น วางเป้าเพิ่มตลาดเป้าหมายอีก 5 ประเทศ เน้นในภูมิภาคอาเซียน ที่มีวัฒนธรรม-ไลฟ์สไตล์ใกล้เคียงกับไทย และตะวันออกกลาง ซึ่งมีดีมานด์สินค้าไทยสะท้อนจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาจับจ่ายในไทยจำนวนมาก
ทั้งนี้ ไลน์สินค้าที่ส่งออกไปยังต่างประเทศนั้นจะคัดเลือกจากข้อมูลการจับจ่ายของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาใช้บริการช่องทางค้าปลีกของท็อปส์ ที่ ณ สิ้นปี 2567 มีร่วมกัน 719 สาขา แบ่งเป็น ท็อปส์ 145 สาขา ท็อปส์ ฟู้ดฮอลล์ 20 สาขา ท็อปส์ เดลี่ 519 สาขา ไวน์เซลลา 8 สาขา และมัทสึคิโยะ 27 สาขา
รวมถึงในช่องทางท็อปส์ ยังมีการทดลองตลาดด้วยการจัดโซน ไอเลิฟไทยใน 35 สาขา ซึ่งรวบรวมสินค้าต่าง ๆ รวมถึงสินค้า Own Brand ทั้งอุปโภคและบริโภคมาไว้สำหรับรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ ซึ่งบริษัทจะใช้ข้อมูลยอดขายเพื่อคัดเลือกสินค้าที่จะส่งออกไปยังแต่ละประเทศ เช่น ทุเรียนฟรีซดราย และทองม้วน ที่ทำยอดขายได้เป็นอันดับ 1 และ 2 ตามลำดับ
โหมสื่อสารย้ำจุดแตกต่าง
นายธนวัตรกล่าวต่อไปว่า นอกจากเพิ่มไลน์สินค้า และบุกต่างประเทศแล้ว บริษัทจะโหมทำการตลาดเพื่อกระตุ้นยอดขาย สร้างการรับรู้และความเชื่อมั่นให้กับสินค้า Own Brand เน้นย้ำจุดเด่นด้านนวัตกรรม การผ่านมาตรฐานต่าง ๆ และความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมซึ่งตอบโจทย์การเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภครุ่นใหม่
ตัวอย่าง เช่น การใช้วัสดุย่อยสลายได้ทั้งแพ็กเกจและตัวสินค้า เช่น จานกระดาษชานอ้อย, บรรจุภัณฑ์สินค้า My Choice เชอรี่ ที่สามารถย่อยสลายได้และไม่เคลือบพลาสติก, ข้าวหอมมะลิที่ผ่านมาตรฐานรับรองคุณภาพออร์แกนิก (USDA Organic, EU Organic, CERES) หรือการใช้ระบบติดตามย้อนกลับเพื่อยืนยันความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในกระบวนการผลิตสินค้า เป็นต้น ทั้งนี้ จะสื่อสารผ่านสื่อต่าง ๆ เช่น แพ็กเกจสินค้า, ป้ายบิลบอร์ด การรีวิวของ KOL, สื่อออนไลน์ ฯลฯ
พร้อมจัดโปรโมชั่นกระตุ้นการจับจ่ายอย่างโปรโมชั่นซื้อ 2 แถม 1 ที่สามารถเลือกมิกซ์แอนด์แมตช์สินค้า Own Brand หลายชนิดเข้าด้วยกัน หรือโปรโมชั่น 1 แถม 1 ในสินค้าที่มีแนวโน้มจะใช้หมดอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้มั่นใจว่า ด้วยสินค้าใหม่ การขยายตลาดไปยังต่างประเทศ รวมถึงกลยุทธ์การทำตลาดจะสามารถผลักดันยอดขายสินค้า Own Brand ให้เติบโตในระดับ 20% ได้ตามเป้าที่วางไว้แน่นอน