
มู้ดบริโภคภายในประเทศร่วงหนัก ! ธุรกิจค้าปลีก 4 ล้านล้านเติบโตติดลบ สมาคมผู้ค้าปลีกไทยชี้คนไทยชะลอการใช้จ่าย นักท่องเที่ยวต่างชาติหาย ภาษีทรัมป์ทำเศรษฐกิจป่วยซ้ำอีกระลอก ร้านอาหารแบรนด์ใหญ่ไม่ยอมเจ็บตัวนาน ไม่ทำเงินปิดสาขาในห้างดัง LINE MAN Wongnai ชี้ธุรกิจร้านอาหารอายุสั้น “เปิดแสน-ปิดแสน” ปิดตัวปีแรกมากกว่า 50% ด้านภาคท่องเที่ยวเร่งปรับกลยุทธ์เจาะตลาดใช้จ่ายสูง หลังตัวเลข มี.ค.-เม.ย.ร่วงหนัก เหลือวันละไม่ถึง 1 แสนคน
นายณัฐ วงศ์พานิช ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์ธุรกิจค้าปลีกไทยในปี 2568 นี้เต็มไปด้วยความท้าทายจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีกและผู้บริโภคที่ลดลงต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากความไม่แน่นอนของสงครามการค้าสหรัฐ-จีน และเศรษฐกิจโลก
ส่งผลให้การลงทุนและการบริโภคชะลอตัว บวกกับภาคท่องเที่ยวที่มีอัตราการเติบโตที่ลดลงจากผลกระทบด้านความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยและเหตุแผ่นดินไหว ทำให้การจับจ่ายของนักท่องเที่ยวซึ่งคิดเป็น 30% ของภาคธุรกิจค้าปลีกลดลงตามไปด้วย
ค้าปลีก 4 ล้านล้านโตติดลบ
ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการโดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอีที่มีจำนวนมากกว่า 3.3 ล้านรายก็ถูกกระทบหนัก อาทิ กลุ่มผู้ผลิต-แบรนด์สินค้า รวมถึงร้านอาหาร-เครื่องดื่ม หลังต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงกับสินค้าและธุรกิจต่างชาติที่รุกเข้ามาหาตลาดใหม่แทนสหรัฐอเมริกา เช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์, อุปกรณ์เสริมและเครื่องประดับ, สิ่งทอ รวมไปถึงร้านอาหาร-เครื่องดื่ม ที่ชูจุดแข็งด้านราคา
นอกจากนี้ ต้นทุนการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการไทยก็ปรับเพิ่มสูงขึ้น จากการปรับขึ้นค่าแรง, ค่าโลจิสติกส์, ค่าพลังงานและสาธารณูปโภคต่าง ๆ ส่วนภาคส่งออกก็กำลังเผชิญกับกำแพงภาษีที่ส่งผลต่อเนื่องไปยังรายได้ของพนักงานที่เกี่ยวข้องในธุรกิจดังกล่าวนี้
“ปรากฏการณ์นี้สอดคล้องกับข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทยที่ประเมินว่า ในปี 2568 การเติบโตของภาคค้าปลีกไทยมูลค่า 4 ล้านล้านบาท มีแนวโน้มชะลอตัวลงชัดเจน โดยคาดว่าช่วงปี 2567-2568 อาจเติบโตเพียง 3.4% ต่ำกว่าช่วงปี 2565-2566 ที่เติบโตถึง 5.9%
และระบุว่าปัจจัยลบปีนี้มีหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจโลกชะลอตัว กำแพงภาษีสหรัฐ กำลังซื้อผู้บริโภคที่ฟื้นตัวช้า รวมถึงการแข่งขันรุนแรงกับแพลตฟอร์มค้าปลีกต่างชาติอย่าง e-Commerce” นายณัฐกล่าว
ร้านอาหารทยอยปิดสาขา
แหล่งข่าวในธุรกิจค้าปลีกกล่าวเสริมว่า ภาพการชะลอตัวของการบริโภคภายในประเทศชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงที่ผ่านมา และเห็นปรากฏการณ์ของผู้ประกอบการร้านอาหารหลายรายประกาศปิดสาขาในห้าง-ศูนย์การค้าอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา
อาทิ เฮงหอยทอดชาวเล ร้านอาหารสตรีตฟู้ดส์ชื่อดังจากภูเก็ตที่มี 10 สาขาในกรุงเทพฯ เช่น The Emporium, Fashion Island, One Bangkok, บรรทัดทอง และอื่น ๆ ประกาศปิดสาขาไอคอนสยาม หลังเปิดได้เพียง 1 เดือนเท่านั้น
คาโกโนะยะ (Kagonoya) ร้านชาบูสไตล์ญี่ปุ่นซึ่งมี 13 สาขา ประกาศปิดบริการถาวรสาขา The Walk เกษตร-นวมินทร์ และสาขา Central Westgate หลังจากที่ปิดสาขา Marche ทองหล่อ ไปก่อนแล้วเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ร้านไอศกรีมทิพย์รส ซึ่งประกาศปิดสาขาเดอะมอลล์ งามวงศ์วาน ไปเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2568 พร้อมแจ้งว่าเตรียมเปิดสาขาใหม่เร็ว ๆ นี้ และเชิญชวนให้ผู้บริโภคใช้บริการสาขาเตาปูน บริเวณซอยกรุงเทพ-นนทบุรี 2 แทน เช่นเดียวกับ James Boulangerie เชนร้านครัวซองต์ ที่ประกาศให้บริการสาขา ICONSIAM เป็นวันสุดท้ายเมื่อ 16 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา
ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทยกล่าวว่า ปรากฏการณ์การประกาศปิดสาขาของร้านอาหารแบรนด์ใหญ่นี้ถือเป็นเรื่องปกติในวงการธุรกิจร้านอาหาร เพราะธรรมชาติของธุรกิจร้านอาหารนั้นจะมีการตัดสินใจเปิด-ปิดกิจการที่รวดเร็ว และด้วยสภาพการแข่งขันที่รุนแรงทำให้ต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา
โดยเมื่อผู้ประกอบการเห็นว่าทำเลใดมีศักยภาพจะลองเปิดสาขาทันที และหากไม่ตอบโจทย์จะตัดสินใจปิดทันทีเช่นกัน จึงเชื่อว่าภาพการปิดตัวของร้านอาหารเหล่านี้ไม่ได้เป็นผลจากสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันมากนัก
“ผมมองว่าห้างและศูนย์การค้ายังคงเป็นทำเลศักยภาพสูงสำหรับธุรกิจร้านอาหาร เนื่องจากข้อได้เปรียบด้านทราฟฟิก หรือจำนวนผู้บริโภคที่เข้ามาใช้บริการในแต่ละวันซึ่งสูงมาก ช่วยเพิ่มโอกาสการขายให้กับผู้ประกอบการ”
ร้านอาหาร “เปิดแสน-ปิดแสน”
สอดรับกับ นายยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai ที่กล่าวว่า ปัจจุบันจำนวนร้านอาหารในประเทศไทยมีอยู่ประมาณ 7 แสนร้าน โดยแต่ละปีมีจำนวนร้านเปิดใหม่ราว 1 แสนร้าน แต่ร้านที่ปิดก็มีจำนวนเท่า ๆ กันเช่นกัน สะท้อนว่าไซเคิลหรืออายุของร้านอาหารค่อนข้างสั้น
สำหรับปีนี้แนวโน้มของการเปิดร้านอาหารมีจำนวนน้อยลงกว่าปีที่แล้ว โดยช่วงไตรมาส 1/2568 ที่ผ่านมา มีร้านอาหารเปิดใหม่ประมาณ 19,000 ร้าน ขณะที่ช่วงไตรมาส 1/2567 มีร้านเปิดใหม่ 22,000 ร้าน
“อายุเฉลี่ยของร้านอาหารอยู่ที่ประมาณ 5 ปี ถ้าร้านไหนรอดก็อยู่ได้ยาว ๆ แต่ถ้าไม่รอด ภายใน 2-3 ปีก็จะปิดตัวลง” นายยอดกล่าว
นอกจากนี้ ข้อมูลภายในของ LINE MAN Wongnai ยังระบุด้วยว่า จำนวนร้านอาหารที่ปิดตัวลงตั้งแต่ปีแรกมีมากกว่า 50% และร้านที่ปิดตัวลงภายใน 3 ปี มีมากกว่า 65% ทั้งนี้ จากผลสำรวจความเห็นร้านอาหาร 1,230 ร้านของ LINE MAN Wongnai พบว่า
ปัญหาหนักใจที่สุดของร้านอาหาร ประกอบไปด้วย ต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น 77%, ต้นทุนอื่น ๆ สูงขึ้น เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่า 60%, จำนวนร้านคู่แข่งเพิ่มขึ้น 57%, จำนวนลูกค้าใหม่ลดลง 47%, จำนวนลูกค้าประจำลดลง 45% และต้นทุนแรงงานสูงขึ้น 27%
นักท่องเที่ยวต่อวันร่วงต่ำแสน
สำหรับในภาคของธุรกิจท่องเที่ยวนั้น แหล่งข่าวในธุรกิจโรงแรมระดับ 5 ดาวกล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ภาพรวมของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยปรับตัวลดลงอย่างชัดเจนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา
โดยเดือนมีนาคมมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2.72 ล้านคน ต่ำกว่าปี 2567 ที่มีจำนวน 2.98 ล้านคน หรือเฉลี่ยมีนักท่องเที่ยวเฉลี่ยประมาณ 90,000 คนต่อวัน และยังคงชะลอตัวต่อเนื่องในเดือนเมษายนนี้ ซึ่งมีจำนวนเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 70,000-80,000 คนต่อวัน
โดยตลาดที่ลดลงไปอย่างชัดเจน คือ จีน เนื่องจากเจอวิกฤตซ้ำหลายเรื่อง ตั้งแต่ประเด็นความไม่ปลอดภัย แก๊งคอลเซ็นเตอร์ แผ่นดินไหวพม่าที่ส่งผลกระทบถึงไทย ทำให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนต่อวันลดลงเกือบครึ่ง จากเฉลี่ยประมาณ 14,000-15,000 คนต่อวัน เหลือเพียงประมาณ 8,000-10,000 คนต่อวัน เช่นเดียวกับมาเลเซียและเกาหลีใต้ที่มีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องเช่นกัน
“แม้เดือนเมษายนจะมีเทศกาลสงกรานต์ แต่จากตัวเลขของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองพบว่า ในเดือนเมษายนนี้มีวันที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเกิน 100,000 คนอยู่เพียง 2 วันเท่านั้น คือวันที่ 11-12 เมษายน วันอื่น ๆ เฉลี่ยราว 70,000-90,000 คน เช่น วันที่ 15 เมษายน จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงมาอยู่ในระดับ 62,702 คน” แหล่งข่าวกล่าวและว่า
จากสถิติล่าสุดพบว่าตั้งแต่ 1 มกราคม-14 เมษายน 2568 มีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลง 27% หากดูเฉพาะเดือนมีนาคม-เมษายน จำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงไปประมาณ 45-50% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ปรับกลยุทธ์เน้นตลาดใช้จ่ายสูง
ด้านนางสาวนัทรียา ทวีวงศ์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และประธานคณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (บอร์ด ททท.) กล่าวว่า หลังจากเกิดปัจจัยลบที่มีผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว ทั้งเรื่องความปลอดภัยในการเที่ยวไทย แผ่นดินไหว การปรับขึ้นภาษีตอบโต้ของสหรัฐและจีน ฯลฯ กระทรวงได้สั่งการให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ปรับแผนการตลาดในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายใหม่สำหรับปี 2568 ว่าให้ทำรายได้จากการท่องเที่ยวเท่ากับปี 2562 ซึ่งเป็นปีก่อนเกิดโควิด-19 สร้างรายได้รวมที่ 3 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2 ล้านล้านบาท และนักท่องเที่ยวไทย 1 ล้านล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าเป้าเดิมที่ตั้งไว้ที่ 3.5 ล้านล้านบาท
โดยแผนยุทธศาสตร์ใหม่นี้จะต้องเน้นเจาะตลาดลักเซอรี่มากขึ้น โดยเฉพาะตะวันออกกลาง อาทิ ซาอุดีอาระเบีย คูเวต หรือยุโรป ที่ตอนนี้ไม่เดินทางไปสหรัฐ เช่น สเปน เยอรมัน สวีเดน อังกฤษ และรวมไปถึงแคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และต้องไม่ไปทุ่มจัดอีเวนต์ในตลาดที่ปลุกไม่ขึ้นในตอนนี้
รวมถึงปรับตัวชี้วัดประสิทธิภาพการทำงาน (KPI) ของ ททท.ใหม่ จากเดิมที่วัดจากจำนวนนักท่องเที่ยว เปลี่ยนมาเป็นวัดจากรายได้ของนักท่องเที่ยวแทน ทั้งนี้ จะพยายามทำให้แล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคมนี้
รายได้ท่องเที่ยว 8.6 แสนล้าน
นางสาวนัทรียากล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาภาพรวมของการท่องเที่ยวตลาดต่างประเทศน่ากังวลมาก โดยเฉพาะตลาดจีนที่เคยมาไทยวันละ 100,000 คน ปัจจุบันบางวันเหลือเพียง 7,000 คนเท่านั้น ทั้งนี้ ไตรมาสแรกที่ผ่านมา (ม.ค.-มี.ค. 68) มีนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 9.55 ล้านคน เพิ่มขึ้น 2% จากปี 2567 คิดเป็นสัดส่วนการฟื้นตัว 88% เมื่อเทียบกับปี 2562 สร้างรายได้ 471,975 ล้านบาท
ส่วนแนวโน้มไตรมาส 2 นี้ (เม.ย.-มิ.ย. 68) คาดว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 8.37 ล้านคน เพิ่มขึ้น 3% จากปีก่อนสร้างรายได้ 390,420 ล้านบาท รวมรายได้จากการท่องเที่ยวตลาดต่างประเทศในครึ่งแรกประมาณ 862,295 ล้านบาท ซึ่งถือว่ายังห่างไกลเป้าหมายที่ตั้งไว้ค่อนข้างมาก