ซิงเกอร์ขยายสาขาปั้นรายได้ ดันบริษัทลูก “เอสจีแคปปิตอล” เข้าตลาด

“ซิงเกอร์” เดินหน้าขยายสาขา-พนักงานตั้งเป้ายึดหัวหาดทุกอำเภอ พร้อมเตรียมลอนช์สินค้าการเงินตัวใหม่หลังได้ใบอนุญาตพีโลน หวังปั้นพอร์ตลูกหนี้แตะ 8000 ล้านบาทใน 2 ปี ก่อนดันบริษัทย่อย “เอสจีแคปปิตอล” เข้าตลาด

นายกิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการสินเชื่อ และจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ซิงเกอร์ด้วยระบบเงินผ่อน กล่าวถึงทิศทางของบริษัทหลังจากนี้ไปว่า จะเน้นย้ำจุดแข็งของโมเดลธุรกิจขายสินค้าเงินผ่อนผ่านตัวแทน ซึ่งเป็นธุรกิจพื้นฐานของบริษัททั้งจำนวนสาขา-พนักงานที่ช่วยให้เข้าถึงลูกค้าระดับชุมชนทั่วประเทศได้ ควบคู่กับการขยายฐานลูกค้าในธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถที่เป็นธุรกิจใหม่และมีศักยภาพเติบโตสูง ด้วยการเดินหน้าขยายสาขาซิงเกอร์แฟรนไชส์ หรือสาขาย่อยจากปัจจุบัน 1,600 สาขา ให้ครบ 2,000 สาขา ภายในสิ้นปี 2563 ตามเป้าที่วางไว้ พร้อมพยายามปักธงทำเลให้ครอบคลุมทั้ง 878 อำเภอในประเทศไทย เพิ่มจากปัจจุบันที่ครอบคลุมประมาณ 600 อำเภอ ก่อนจะขยายเจาะลึกในระดับตำบลต่อไปในอนาคต เช่นเดียวกับด้านพนักงานขายที่นำแอปพลิเคชั่นมาช่วยในการรับสมัครตัวแทนอิสระ ช่วยให้สามารถเพิ่มจำนวนได้รวดเร็วขึ้น

นายกิตติพงศ์กล่าวด้วยว่า การขยายสาขาย่อย และพนักงานนี้จะช่วยสร้างความได้เปรียบหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเพิ่มโอกาสขายสินค้าเงินผ่อน จากกลยุทธ์ออนไลน์ทูออฟไลน์ หรือ O2O ด้วยการประชาสัมพันธ์สินค้าทางออนไลน์ เมื่อลูกค้าสั่งสินค้าทางออนไลน์แล้ว พนักงานในพื้นที่จะติดต่อลูกค้า และเก็บเอกสารที่จำเป็นทาง Line, e-Mail, หน้าเพจ หรือแอป Singer เมื่ออนุมัติแล้ว พนักงานหรือบริษัทขนส่งที่เป็นพันธมิตร เช่น DHL จะส่งสินค้าไปให้ลูกค้า พร้อมเก็บเงินดาวน์ รวมถึงเอกสารตัวจริง

เช่นเดียวกับด้านสินเชื่อจำนำทะเบียนรถที่การใช้สาขาย่อยเป็นฐานสามารถสร้างความได้เปรียบด้านจำนวนสาขาเหนือคู่แข่งรายอื่น ๆ ปัจจุบันมีสาขาสินเชื่อจำนวนทะเบียนรถ 47 สาขา เพิ่มจาก 15 สาขาเมื่อปีที่แล้ว ขณะเดียวกันยังลดโอกาสเกิดหนี้เสีย เนื่องจากมีพนักงานภาคสนามติดตามหนี้มากกว่าในอดีต ร่วมกับการเน้นลูกค้าผู้ประกอบการรถขนส่งสินค้า ซึ่งมั่นคงกว่ารถบ้านเพราะเป็นธุรกิจที่มีรายได้ต่อเนื่อง

“ศักยภาพของกลยุทธ์นี้สะท้อนจากผลประกอบการไตรมาส 2 ซึ่งรายได้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้น 238 ล้านบาท หรือ 34.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 919 ล้านบาท โดยรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 246 ล้านบาท หรือ 59.9% เป็น 657 ล้านบาท ในขณะที่ลูกหนี้เช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าและอื่น ๆ 2,202 ล้านบาท ส่วนลูกหนี้สินเชื่อจำนำทะเบียนรถมีมูลค่า 1,856 ล้านบาท และสินเชื่อเช่าซื้อเครื่องจักรใหม่อีก 325 ล้านบาท โดยมีอัตราหนี้เสีย หรือเอ็นพีแอล (NPL) ที่ 6.5%” นายกิตติพงศ์กล่าวและว่า

พร้อมกันนี้ เตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ อาศัยโอกาสจากการได้รับใบอนุญาตสินเชื่อบุคคลทำให้สามารถขยับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นจากอัตรา 16.2% ในปัจจุบันได้ อีกทั้งยังห่างจากเพดานของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งกำหนดไว้ที่ 24% อยู่มาก จึงมีโอกาสเติบโตได้อีก

“โอกาสการเติบโตมีหลากหลายขึ้นอยู่กับเซ็กเมนต์ที่จะไป เช่น เพิ่มโปรดักต์ในกลุ่มรถทำเงิน เพื่อจับกลุ่มลูกค้า V.I.P. หรือจะต่อยอดฐานลูกค้าเดิมจากฝั่งสินค้าเงินผ่อน โดยเก็บดอกเบี้ยสูงกว่า 16.2% ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่ง”


นายกิตติพงศ์กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังมีแผนจะเดินหน้าเพิ่มมูลค่าบัญชีลูกหนี้อีก 1,200 ล้านบาท เพื่อให้ได้ 5,800-6,000 ล้านบาทตามเป้าของปีนี้ และวางเป้าเพิ่มเป็น 80,000 ล้านในอีก 2 ปีข้างหน้า เพื่อนำบริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด หรือชื่อเดิมซิงเกอร์ ลีสซิ่ง บริษัทย่อยที่ซิงเกอร์ ประเทศไทย ถือหุ้น 99.99% ดำเนินธุรกิจด้านสินเชื่อเครื่องใช้ไฟฟ้า, จำนำทะเบียนรถ ฯลฯ เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ