ทำความรู้จักแบรนด์ร้านอาหารสุขภาพ “โอ้กะจู๋” ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากความฝันของเด็กมัธยมปลาย 2 คน ที่จับมือกันฝ่าอุปสรรคนับไม่ถ้วน ด้วยหวังให้ลูกค้าได้กินผักปลอดสารพิษและยาฆ่าแมลง ก่อน OR โดดร่วมหุ้น
วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานกรณี บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ “OR” ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นและสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้น ระหว่าง บริษัท มอดูลัส เวนเจอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ OR กับ บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด ซึ่งดำเนินกิจการร้านอาหารเพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์ “โอ้กะจู๋”
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
โดย OR เข้าลงทุนในสัดส่วนร้อยละ 20 ตั้งเป้าขยายสาขาร้านโอ้กะจู๋เพิ่มเติมในสถานีบริการน้ำมัน PTT Station ซึ่งมีจำนวนกว่า 1,900 สาขาทั่วประเทศ รวมถึงการจำหน่ายอาหารแบบ Grab & Go ผ่านร้าน Café Amazon ในเขตกรุงเทพและปริมณฑล และภาคเหนือ
“ประชาชาติธุรกิจ” รวบรวมเรื่องราวของ “โอ้กะจู๋” แบรนด์ร้านอาหารเพื่อสุขภาพชื่อแปลก ให้ผู้อ่านได้ทำความรู้จักกัน
อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์โอ้กะจู๋ ทำให้ทราบว่า ผู้ก่อตั้งแบรนด์คือ “อู๋” ชลากร เอกชัยพัฒนกุล กะ “โจ้” จิรายุทธ ภูวพูนผล เป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย ครอบครัวของทั้งคู่ประกอบอาชีพเกษตรกร หลังจากทั้งคู่มีโอกาสไปทัศนศึกษาที่ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เลยสนใจการทำการเกษตรที่ผสมผสานเกษตรสมัยใหม่กับดั้งเดิมเข้าด้วยกัน
หลังจากที่พวกเราจบมหาวิทยาลัยแล้ว ใครจะรู้ว่าความฝันเพี้ยน ๆ ของเด็กมัธยมปลายอย่างพวกเราจะเป็นจริงเข้าซักวันหนึ่ง… ข้อความส่วนหนึ่งจากในเว็บไซต์ระบุ
เมื่อจบมัธยมปลาย “โจ้” เข้าศึกษา คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จบการศึกษาปริญญาตรี ด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับ 1 (เหรียญทอง) หลังจากจบการศึกษาแล้วได้ร่วมมือกับ “อู๋” ปลูกผักทันที เริ่มจากปลูกผักสวนครัวทั่วไปและผักสลัดบางชนิด บนพื้นที่ปลูกที่ไม่มากนัก ด้วยเหตุผลที่ว่า
“เราอยากให้คนในครอบครัวมีสุขภาพดีไม่อยากให้ครอบครัวได้รับสารพิษและสารเคมีตกค้าง” จึงเป็นที่มาของชื่อบริษัทและสโลแกน “ปลูกผักเพราะรักแม่”
ต่อมาจึงมีเพื่อนสมัยมัธยมอีกคนคือ “ต้อง” วรเดช สุชัยบุญศิริ ซึ่งจบการศึกษา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มีความรู้ด้านเครื่องจักรและวิธีการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ มาร่วมหุ้นอีกคน
ฤดูฝนของ ปี 2553 พวกเขาประสบกับวิกฤตอุทกภัยครั้งใหญ่ โรงเรือนได้รับความเสียหาย ไม่สามารถเพาะปลูกผลผลิตได้ ต่อมาช่วงฤดูร้อนของ ปี 2554 เจอวิกฤตอีกครั้ง ครั้งนี้ทำให้โรงเรือนล้มระเนระนาด ไม่สามารถเพาะปลูกได้ แต่พวกเขาก็ไม่ยอมแพ้ ตัดสินใจก่อสร้างโรงเรือนขึ้นใหม่อีก 2 หลัง โดยใช้วัสดุแบบผสมผสานระหว่างไม้สักและเหล็กที่มีความแข็งแรงมากขึ้น
ก่อนที่พวกเขาจะคิดต่อยอดผลผลิต สร้างคาเฟ่เล็ก ๆ สำหรับคนรักสุขภาพ โดยเน้นเมนูสลัดออแกนิคจากสวน เสิร์ฟคู่กับน้ำสลัดโฮมเมดสูตรคุณแม่ รวมถึงเครื่องดื่มจากเมล็ดกาแฟ และชาที่เป็นออแกนิค โดยมี คอนเซ็ปต์ว่า From farm to table เริ่มให้บริการในวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
แม้จะมีช่องทางขายเป็นของตัวเอง แต่พวกเขาก็ยังเจออุปสรรค เนื่องจากผักที่ปลูก ผลผลิตมีปริมาณน้อยกว่า หากเทียบกับผักที่ปลูกโดยใช้สารเคมี ส่งผลทำให้ต้นทุนของผักออร์แกนิคมีราคาสูงกว่า แต่พวกเขาก็ยังไม่ทัน ด้วยความตั้งใจที่อยากจะให้คนเชียงใหม่ได้รับประทานผักลอดสารเคมีและยาฆ่าแมลง
…เราเชื่อมั่นว่าเราเดินมาถูกทางแล้ว เพียงแต่เราต้องใช้ความอดทนและระยะเวลาในการพิสูจน์ตัวเองเท่านั้น
ปัจจุบันได้มีการพัฒนาร้าน และขยับขยายพื้นที่ปลูกผักเพิ่มขึ้น โดยได้เพิ่มโรงเรือนสำหรับปลูกผัก กับโรงเรือนระบบหมุนเวียนอากาศ (Evaporative cooling system) ที่สามารถปลูกผักที่ปราศจากสารเคมีและยาฆ่าแมลง ซึ่งหารับประทานทานได้ยาก เช่น ผักคะน้าออร์แกนิค กะหล่ำปลีออร์แกนิค อีกทั้งยังสามารถลดอุณหภูมิในโรงเรือน ซึ่งทำให้สามารถเพิ่มคุณภาพของผลผลิตได้
โดยพื้นที่ ที่ใช้ในการปลูกผักทั้งหมดนี้ คือ
สวนที่ 1 “สวนผักแห่งศรัทธา” ขนาด 12 ไร่ บริเวณด้านหลังของที่ตั้งคาเฟ่สาขาแรก
สวนที่ 2 “สวนปลูกผักเพราะรักแม่” ขนาด 8 ไร่ ซึ่งเดิมเคยเป็นพื้นที่ ที่ปลูกข้าวไรซ์เบอร์รี่ออร์แกนิคอยู่แล้ว
สวนที่ 3 “สวนปลูกผักเพราะรักพ่อ” ที่ได้ขยายพื้นที่ในต้นปี 2558 บนพื้นที่ขนาด 50 ไร่
ช่วงท้ายของประวัติทางเว็บไซต์ ระบุด้วยว่า “สวนผักโอ้กะจู๋” กำลังเตรียมความพร้อม เพื่อจะขยายตามคำเรียกร้องของคุณลูกค้า และเราจะพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งครับ ขอขอบคุณครับ
เมื่อปี 2562 “ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสสัมภาษณ์ “อู๋” ชลากร ถึงแนวทางการขยายธุรกิจ ซึ่งเจ้าตัวเผยว่า..
“ช่วงแรกที่เปิดร้านยังไม่มีกลุ่มเป้าหมาย และไม่ได้วางแผนขยายสาขา จนเมื่อปลายปี 2556 ซึ่งเป็นฤดูท่องเที่ยวมีลูกค้าเข้าใช้บริการที่ร้าน แล้วถ่ายรูปเมนูอาหารแชร์ผ่านสื่อโซเซียล ทั้งเฟซบุ๊กและไอจี สร้างการรับรู้แบบปากต่อปาก หลังจากนั้นก็ได้รับการตอบรับจากกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น”
จากนั้นจึงค่อย ๆ ขยับขยายสาขาเพิ่ม ก่อนจะกระโดดข้ามเข้ามากรุงเทพฯ นำร่องสาขาแรกที่สยามสแควร์
หนึ่งในผู้ก่อตั้งแบรนด์ชื่อแปลกย้ำว่า หัวใจสำคัญอย่างหนึ่งก็คือ การพัฒนาเมนูอาหาร โดยจะมีการปรับเปลี่ยนเมนูใหม่ทุก ๆ 4 เดือน
ณ เวลานั้น “สวนผัก โอ้กะจู๋” เตรียมขยายสาขาไปในพื้นที่หัวเมืองหลัก ทั้งภาคใต้และอีสาน โดยอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ให้สามารถรับส่งวัตถุดิบได้รวดเร็ว
นอกจากนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าที่ไม่สะดวกจะเดินทางไปที่ร้านและตอบโจทย์ลูกค้ายุคใหม่ที่นิยมสั่งอาหารไปรับประทานที่บ้าน โอ้กะจู๋ได้ร่วมมือกับแกร็บและฟู้ดแพนด้าให้บริการส่งดีลิเวอรี่ และเตรียมจะมีแอปพลิเคชั่น “โอ้กะจู๋” สำหรับจองโต๊ะ จองคิว และสั่งอาหารกลับบ้าน เปิดให้บริการในช่วงต้นปี 2563
“อู๋” ทิ้งท้ายไว้ว่า ถึงวันนี้สวนผัก โอ้กะจู๋ ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งในแง่ของการส่งต่อสุขภาพที่ดีให้กับลูกค้า แต่เป้าหมายถัดไปคือ จะทำอย่างไรให้ยั่งยืน ดังนั้น สิ่งที่ร้านจะต้องเพิ่มคือ นวัตกรรม ลูกเล่นใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์
อ่านถึงตรงนี้เชื่อว่าหลายคนคงพอจะเห็นภาพว่า เหตุใด “โอ้กะจู๋” จึงเตะตา OR เข้าอย่างจัง