ภูตะวัน ผุดแบรนด์ “อินทรี” ดันออร์แกนิกไทยไปไกลระดับโลก

ภูตะวัน ปั้นแบรนด์ “อินทรี” ชูจุดเด่นสารสกัดธรรมชาติจากเกษตรกรไทย พร้อมกางแผน 2 ปี ตั้งเป้าดันออร์แกนิกไทยท้าชนตลาดโลก ควบคู่เน้นกลยุทธ์ออนไลน์ ลดการขยายสาขา จับมือพันธมิตรสร้างการเติบโต เชื่อธุรกิจฟื้นตัวระดับเดียวกับปี’62

วันที่ 10 มิถุนายน 2564 ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า ปัจจุบันตลาดอินทรีย์ในประเทศมีมูลค่าราว 900 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าตลาดเกษตรอินทรีย์ของไทยในต่างประเทศอยู่ที่ 2,100 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าส่งออกราว 0.06% ของมูลค่าตลาดโลก 

ทั้งนี้ ในปี’64 คาดว่ามูลค่าตลาดสินค้าอินทรีย์ทั้งในไทยและต่างประเทศจะขยายตัวถึง 20% โดยมีสหรัฐอเมริกา แคนาดา ยุโรป จีน ออสเตรเลีย เป็นตลาดใหญ่ของโลก 


นายฉัตรชัย วงศ์มานะโรจน์ศรี ผู้ก่อตั้ง และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ภูตะวัน เฮิร์บ แอนด์ คอสเมติค จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์ส่วนผสมจากธรรมชาติแบรนด์ “ภูตะวัน” เล็งเห็นโอกาสทองของประเทศเกษตรกรรมอย่างไทยว่ามีศักยภาพสูง สามารถแข่งขันบนสมรภูมิตลาดออร์แกนิกโลกได้อย่างแน่นอน และจากประสบการณ์บ่มเพาะกว่า 20 ปี ในแบรนด์ภูตะวัน จึงได้ตัดสินใจต่อยอดสินค้า

โดยปั้นแบรนด์อินทรี (intree : Organic mountain) ขึ้นมา ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ตัวชูโรง 2 กลิ่น ได้แก่ แม่ฮ่องสอน เลมอนกราส ออร์แกนิก และ กุหลาบมอญ ออแกนิค ในรูปแบบแชมพูและคอนดิชั่นเนอร์, ชาวเวอร์เจล, บอดี้สครับ, โซฟบาร์ และครีมบำรุงผิว ราคาตั้งแต่ 120-480 บาท

พร้อมกับชูจุดเด่นส่วนผสมจากวัตถุดิบธรรมชาติระดับเข้มข้นในปริมาณที่สูงกว่า 90% และให้ความปลอดภัยสูง โดยผ่านการรับรองจาก USDA, ECO-CERT และสถาบันระดับโลก

ควบคู่กับการใช้ ‘ธรรมชาติ’ เป็นตัวกลางสร้างการเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มผู้บริโภค เกษตรกร และองค์กรเข้าไว้ด้วยกัน 

ด้วยการใช้วัตถุดิบหลักในการพัฒนาผลิตภัณฑ์จาก 2 แหล่ง ผ่านเกษตรกรไทยในพื้นที่ ได้แก่ 1.อำเภอแม่ลาน้อย จ.แม่ฮ่องสอน และ 2.ทุ่งเริง จ.เชียงใหม่

“การเปิดตัวทำตลาดผลิตภัณฑ์อินทรีในครั้งนี้ เพื่อสร้างการรับรู้ในกลุ่มลูกค้าว่า ประเทศไทยเป็นแหล่งปลูกพืชออร์แกนิกที่มีคุณภาพสูงและมีเอกลักษณ์ระดับโลก”

โดยหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญในปี’64-65 คือ การขยายตลาดและการเติบโตผ่านการส่งออก ที่เน้นการเป็นแบรนด์สินค้าไทยที่เกิดจาก Made From Local Farmer และเป็นสินค้าจากวัตถุดิบในประเทศไทยอย่างแท้จริง 

ทั้งนี้ ปัจจุบันภูตะวันมีหน้าร้านสาขาต่างประเทศทั้งหมด 5 ประเทศ ได้แก่ รัสเซีย ฮ่องกง อุซเบกิสถาน ออสเตรีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ควบคู่กับการส่งออกสินค้าไปยังประเทศต่าง ๆ กว่า 17 ประเทศ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย โอมาน คูเวต ออสเตรีย สิงคโปร์ อุซเบกิซสถาน ฮ่องกง รัสเซีย มาเลเซีย สหรัฐอเมริกา ลาว ไต้หวัน บัลแกเรีย และโปแลนด์

ส่วนตลาดในประเทศ จะเน้นสร้างภาพการเติบโตในช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้น 200% พร้อมกับลดการขยายสาขา ที่ปัจจุบันมี 18 แห่งทั่วประเทศ โดยปรับหน้าร้านเป็นรูปแบบขนาดเล็ก เพื่อให้กลุ่มลูกค้าสามารถเข้าถึงได้สะดวกสบายในทุกที่ พร้อมสื่อสารแบรนด์ไปยังร้านค้าพันธมิตรที่มีแนวทางการทำตลาดคล้ายคลึงกัน เพื่อขยายตลาดและเติบโตไปพร้อมกัน 

และเล็งขยายการเติบโตแบรนด์และการจำหน่ายสินค้าในรูปแบบธุรกิจต่อธุรกิจ (B2B) มากขึ้น ผ่านความร่วมมือ (Cooperate) กับเอกชน เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจในรูปแบบขายปริมาณมาก โดยใช้ความน่าเชื่อถือและเรื่องราว (story) สินค้าและแบรนด์ที่ใส่ใจเรื่องความยั่งยืน มาร่วมใช้สื่อสารการตลาด

นอกจากนี้ ยังต่อยอดกระแสรักษ์โลก โดยใช้วัตถุดิบที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและย่อยสลายได้ในแหล่งน้ำ และไม่ทำลายปะการัง เป็นต้น 

“สินค้าแบรนด์อินทรีมีเป้าหมายจับกลุ่มระดับบนเฉพาะกลุ่มผู้หญิงที่มีอายุเฉลี่ย 25-35 ปี และมีรูปแบบการใช้ชีวิตทันสมัย ห่วงใยสิ่งแวดล้อม ให้ความสำคัญในการดูแลตัวเอง และชื่นชอบของใช้หรือสินค้าที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ และผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก”

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันแบรนด์อินทรีมีกลุ่มลูกค้าหลักในเมืองประมาณ 60% และเขตพื้นที่อื่น ๆ ราว 40% รวมถึงกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ ที่สนใจผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกที่มีคุณภาพและส่วนผสมระดับเข้มข้น

“เราหวังว่าจะเป็นต้นแบบให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SMEs) อื่น ๆ ในอนาคต ผ่านกระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้ตลอดห่วงโซ่ธุรกิจของบริษัท รวมถึงสร้างการรับรู้ให้ผู้บริโภคต่อแบรนด์ Intree by Phutawan ด้วยเป็นแบรนด์ที่สร้างสรรค์สังคมและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการสร้างยอดขายที่ยั่งยืนผ่านช่องทางออนไลน์ซึ่งทำตลาดได้ทั้งในและต่างประเทศ และช่องทางออฟไลน์ ควบคู่กันไปกับแบรนด์ภูตะวันให้มีความแข็งแรงยิ่งขึ้น”

ทั้งนี้ จากกลยุทธ์ดังกล่าวบริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตไว้ที่ระดับเดิม หรือมีอัตราเท่ากับในช่วงก่อนเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ในปี 2562 โดยมียอดขายอยู่ที่ 120 ล้านบาท