ศุภลักษณ์ อัมพุช พลิกโฉมรีเทล ผนึก บิทคับ จุดพลุเศรษฐกิจดิจิทัล

กว่า 40 ปีของแม่ทัพหญิงสุดแกร่งผู้พลิกโฉมวงการค้าปลีกเมืองไทยมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน “ศุภลักษณ์ อัมพุช” มาวันนี้ เดอะมอลล์ กรุ๊ป เจอโจทย์หินสุดท้าทายอีกครั้ง ทั้งจากเทคโนโลยีดิสรัปชั่น และการระบาดของโควิด-19 ซึ่งเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง และส่งผลกระทบอย่างมากกับทุกภาคส่วน ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่ยังอยู่ ไม่มีใครรู้ว่าจะจบเมื่อใด

แต่เธอเชื่อว่า “ในทุก ๆ วิกฤตยังมีโอกาสใหม่ ๆ เสมอ” เพียงแต่การจะก้าวข้ามวิกฤต พลิกฟื้นเศรษฐกิจขึ้นมาได้อีกครั้ง ไม่สามารถทำได้โดยใครคนใดคนหนึ่ง

นำไปสู่การประกาศความร่วมมือระหว่าง “เดอะมอลล์ กรุ๊ป” และ “บิทคับ” สตาร์ตอัพยูนิคอร์นตัวล่าสุดของไทย ร่วมกับกลุ่มพันธมิตรจากหลากหลายวงการ

“ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ “ศุภลักษณ์ อัมพุช” แม่ทัพหญิง เดอะมอลล์ กรุ๊ป และ “ท็อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” กรุ๊ป ซีอีโอ บิทคับ แคปติตอล กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด กับความต้องการในการพลิกโฉมวงการค้าปลีกและสร้างปรากฏการณ์เศรษฐกิจดิจิทัลใหม่เพื่อฟื้นประเทศหลังโควิด

“ศุภลักษณ์” กล่าวว่า กว่า 30-40 ปีที่คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงค้าปลีกไทย ปั้น physical สโตร์สุดหรูมามากมาย ตั้งแต่เดอะมอลล์, สยามพารากอน, ดิ เอ็มดิสทริค ฯลฯ ดึงคนเข้ามาใช้บริการได้ถึง 1-2 ล้านคนต่อวัน ซึ่งวิกฤตโควิดส่งผลต่อเศรษฐกิจและกำลังซื้อในประเทศอย่างมาก

ทั้งสายการบิน การท่องเที่ยว และอื่น ๆ แต่ในวิกฤตก็ยังมีโอกาสสำหรับบางธุรกิจ เช่น อีคอมเมิร์ซ, โลจิสติกส์ รวมไปถึงด้านสินทรัพย์ดิจิทัล (digital assets) ทำให้เกิดกำลังซื้อใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมาก ซึ่งโดยส่วนตัวถือเป็นสิ่งใหม่มากที่ต้องเรียนรู้และปรับตัว

สิ่งที่เผชิญช่วงที่ผ่านมารุนแรงมาก รายได้จากการท่องเที่ยว 3 ล้านล้าน เหลือ 3 แสนล้าน น่ากลัวกว่าสงครามโลก และไม่รู้ว่าจะยาวนานขนาดไหน แต่อย่างที่บอกในทุกวิกฤตมีโอกาส ธุรกิจที่เราทำอยู่ในโลก physical ถ้านำมาผนึกกำลังกับดิจิทัลได้ก็จะเกิดเป็นพลังมหาศาล

“ช่วงที่ผ่านมา สินค้าลักชัวรีโตมาก เป็น 3 เท่า ถามว่ามาจากไหน มาจากคนกลุ่มนี้นั่นเอง กลุ่มที่ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล”

ชูเศรษฐกิจดิจิทัลฟื้นประเทศ

นั่นทำให้เกิดเป็นการร่วมมือกับบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจด้านสินทรัพย์ดิจิทัล (digital assets) และเทคโนโลยีบล็อกเชน (blockchain technology) รวมถึงเป็นผู้ให้บริการศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือตลาดซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซี ผ่านบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด

โดยจะร่วมกันวางกลยุทธ์การขับเคลื่อนการสร้างระบบนิเวศสินทรัพย์ดิจิทัล (digital asset ecosystem) เพื่อผลักดันให้เกิดการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างยั่งยืน ผ่านความร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทำให้ประเทศไทยเป็นสวรรค์ของการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล และด้านการท่องเที่ยวสู่ “heaven for digital asset investment & tourism”

นอกจากบิทคับ ยังจะจับมือกับพันธมิตรจากอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อทำให้ไทยเป็นช็อปปิ้งพาราไดส์ มีทั้งสายการบิน, โรงแรม, ศูนย์สุขภาพ, สปา, บริษัทรถยนต์ เพราะทุกอย่างเกี่ยวข้องกันหมด

“การปรับตัวเพื่ออยู่รอดคือสิ่งสำคัญ เนื่องจากโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในอีก 10 ปีข้างหน้า พัฒนาการจะเร็วกว่านี้อีกหลายเท่า ทำให้เราต้องเร่งปรับตัว เรื่องสินทรัพย์ดิจิทัลโดยส่วนตัวก็ยังไม่เข้าใจทั้งหมด

แต่ต้องยอมรับว่าเทรนด์ที่กำลังมา และยากที่จะปฏิเสธ มีการเติบโตก้าวกระโดดทั่วโลกในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา การร่วมมือกับบิทคับ จึงเป็นโอกาสครั้งสำคัญในการพลิกโฉมรีเทลสู่การเป็น omniexperience ด้านสินทรัพย์ดิจิทัล”

เชื่อม 2 โลกออนไลน์-ออฟไลน์

ฟากของ “ท็อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” หนึ่งในผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร “บิทคับ” กล่าวว่า วิกฤตโควิดส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้คน และการทำธุรกิจแบบเดิม ๆ อย่างมาก ขณะที่มีอาชีพใหม่ธุรกิจใหม่บนแพลตฟอร์มออนไลน์เกิดขึ้นจำนวนมากด้วยเช่นกัน

ดังนั้นการพลิกฟื้นเศรษฐกิจจึงเป็นการปรับตัวของภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปสู่ยุคใหม่ ที่เรียกว่า “นิวอีโคโนมี” สนับสนุนการสร้างองค์ความรู้สำหรับสตาร์ตอัพ และผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (nano-entrepreneur)

“อีก 10 ปีข้างหน้า สิ่งที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี ไม่ใช่แค่ตัวเดียว แต่มาเป็นแพ็กเกจ ทั้ง AR VR หรือ digital device นำไปสู่โลกเสมือนที่เติบโตแบบคู่ขนานไปกับโลกจริง โดย 5 ปีในอนาคตจะเท่ากับ 50 ปีในอดีต ดังนั้นเราต้องคิดเร็วทำเร็ว และต้องปรับตัว คนที่ปรับตัวไม่ได้จะเสียประโยชน์ แต่คนที่ปรับตัวได้ ก็จะได้ประโยชน์มหาศาล อย่างเฟซบุ๊ก กูเกิล ที่มีรายได้มหาศาล

ขณะที่ในช่วงการระบาดของโควิดที่ประเทศไทยเคยเป็น world top tourism destination ภาคการท่องเที่ยว มีมูลค่า 3 ล้านล้านบาท เทียบเป็น 20% ของจีดีพี พอโควิดมาเหลือ 3 แสนล้านบาท หายไป 1,000% หรือเหลือเพียง 2%”

ดังนั้นคีย์คือ จะทำอย่างไรให้ตัวเลขที่เหลือ 2% กลับไป 20% เหมือนเดิมโดยเร็วที่สุด

“การเปิดประเทศอีกรอบกว่านักท่องเที่ยวจะเข้ามาเท่าเดิม ต้องใช้เวลา 2-3 ปีเป็นอย่างน้อย ถ้าจะทำให้รายได้การท่องเที่ยวกลับมา 20% เร็วที่สุด ต้องเปลี่ยน ไม่ใช่เป็น world top tourism destination แล้ว แต่ควรเป็น world top tourism quality destination ไม่จำเป็นต้องพานักท่องเที่ยวมาเป็นสิบล้าน แต่ดึงกลุ่มที่มีการใช้จ่ายสูง มีคุณภาพ อาจทาร์เก็ตแค่ 1 ล้านคนก็พอ นั่นคือสิ่งที่จะทำให้กลับมาแตะ 20% ได้เร็วที่สุด”

หนึ่งในนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อ คือ กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล

เฉพาะลูกค้าที่มาเปิดบัญชีซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลกับบิทคับ มีกว่า 3 ล้านบัญชี เติบโตต่อเนื่องกว่า 1,000% และมีมูลค่าการซื้อขายมากกว่า 25,000 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง

เจาะ New Rich ดึงเงินเข้าประเทศ

แต่การจะดึงมาได้ต้องเปลี่ยนแปลง อย่างแรกที่ต้องทำคือ infrastructure ที่พร้อมเพื่อดึงคนกลุ่มใหม่ แต่การที่จะแทร็กคนที่เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพที่มีการจับจ่ายสูง จำเป็นต้องสร้างโครงสร้างอินฟราสตรักเจอร์ใหม่เข้ามา จะต้องมีการพัฒนาเข้าสู่สินทรัพย์ดิจิทัล digital asset

เพราะสังเกตช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา คนที่เป็น new rich, new weath คือกลุ่มคนที่เป็นนักลงทุนในดิจิทัลแอสเสท ที่มีการเติบโตเร็วมาก และคนกลุ่มนี้ถือเป็นคนรุ่นใหม่ ผู้ประกอบการขนาดเล็กที่มีกำลังซื้อสูง

“ที่ผ่านมาสิงคโปร์วางตัวเองเป็น financial hub อาเซียน ทั้งที่ไม่มีทรัพยากร แต่วางโครงสร้างพื้นฐานที่สอดรับกับนโยบายที่โตตามเป้าได้ เพราะตลอด 20 ปีที่ผ่านมา วงการการเงินโตมหาศาล และนั่นคือทางที่เราต้องทำ เพื่อปูไปยังการเป็น world top tourism quality destination ด้วยการสร้างโครงสร้างพื้นฐานและระบบนิเวศด้านดิจิทัล”

“จิรายุส” ย้ำว่า ในอนาคตบริษัทที่ใหญ่ที่สุดจะไม่ใช่บริษัทที่มีออฟฟิศใหญ่ที่สุด แต่เป็นบริษัทที่มีสถานที่ทำงานหลายโลเกชั่นให้เลือก ทำงานบนระบบ “คลาวด์” และมีแอปพลิเคชั่นหลากหลายที่รองรับคนทำงานได้ เพราะคนทำงานรุ่นใหม่โดยเฉพาะด้านดิจิทัล (digital nomad) นอกจากต้องการทำงานที่ไหนก็ได้แล้ว ยังมีมากกว่าอาชีพเดียว

ดังนั้นการจะดึงคนกลุ่มนี้ ซึ่งมีรายได้ดีเข้ามาใช้จ่ายหรืออยู่ในประเทศไทยจะต้องมีโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ในประเทศให้เป็นมิตร ซึ่งความร่วมมือระหว่างบิทคับกับเดอะมอลล์ กรุ๊ปในครั้งนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของการทรานส์ฟอร์มให้ประเทศไทยปรับตัวรับการเปิดประเทศครั้งใหม่ หรือยุค post COVID

ผนึก Bitkub ปั้นธุรกิจรุ่นใหม่

“แม่ทัพเดอะมอลล์” เสริมถึงที่มาของการร่วมทุนจัดตั้ง บริษัท บิทคับ เอ็ม จำกัด สัดส่วน 50 : 50 ราว 200 ล้านบาท เพื่อลงทุน และบริหาร BITKUB M SOCIAL ให้เป็นดิจิทัลคอมมิวนิตี้แห่งแรกของไทย เป็นแหล่งพบปะนักลงทุน รวมถึงเป็นศูนย์การเทรด และการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล (digital asset trading & exchange) มีทั้ง NFT gallery & gaming และโลกของ Metaverse ในอนาคต เพื่อสร้างผู้ประกอบการรุ่นใหม่บนเป้าหมายยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางของสินทรัพย์ดิจิทัลระดับภูมิภาคเอเชีย

แฟลกชิปสโตร์ BITKUB M SOCIAL มีพื้นที่ 2,000 ตารางเมตร (ชั้น 8-9 โซนฮีลิกซ์ ควอเทียร์ อาคาร A ดิ เอ็มควอเทียร์) ประกอบด้วยศูนย์การเรียนรู้ อบรม สัมมนา มีห้องประชุมและเอ็นเอฟทีแกลเลอรี่ (NFT Gallery) ร้านค้า คาเฟ่ และบาร์ สำหรับ BITKUB M SOCIAL MEMBERSHIP

พร้อมเปิดตัวเครือข่ายพันธมิตรธุรกิจ อาทิ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, โรงแรมในเครือดุสิต, โรงพยาบาลเกษมราษฏร์, แอร์เอเซีย, บางกอกแอร์เวย์, อนันดาฯ รวมถึงธุรกิจยานยนต์ ซูเปอร์คาร์ และเรือยอชต์เพื่อการท่องเที่ยว และอื่น ๆ เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้สินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย

นอกจากนี้ยังร่วมกับพันธมิตรธุรกิจ ร้านค้า และคู่ค้ากว่า 1,000 ราย จัดกิจกรรม Happy Treasure Hunt Game ครั้งแรกของโลกกับ NFT (nonfungible token) พร้อมรางวัล 222,222 รางวัล มูลค่ารวมกว่า 120 ล้านบาท

“เมื่อ physical บวกกับ digital ไม่ใช่ 1+1 เท่ากับ 2 แต่จะเป็น exponential rate ในอดีตค้าปลีกเติบโต 5% เป็นเรื่องยาก แต่ digital economy ทำให้เติบโตได้มากกว่านี้แน่นอน”