“คาเฟ่เต่าบิน” เขย่าตลาดกาแฟสด 4 หมื่นล้าน

“ฟอร์ท เวนดิ้ง” เปิดแนวรบใหม่ ชูตู้กดกาแฟอัตโนมัติ “เต่าบิน” เขย่าวงการ ชูจุดขายกาแฟสด-สารพัดเมนูเครื่องดื่มมากกว่า 170 เมนู ประกาศปูพรม 2 หมื่นจุด ภายใน 3 ปี ปักหมุดโรงพยาบาล-ออฟฟิศ-โรงงาน เฟสแรกโฟกัสกรุงเทพฯ สเต็ปต่อไปบุกหัวเมืองใหญ่ ภูเก็ต ขอนแก่น เชียงใหม่ กวาดลูกค้ารอบทิศ

นายสมกิจ ไทยพันธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟอร์ท เวนดิ้ง จำกัด เจ้าของตู้กดกาแฟอัตโนมัติ “เต่าบิน” เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปรอบด้านทั้งเทรนด์การทำงานที่บ้านและร้านกาแฟ

ตลอดจนการใช้ชีวิตเร่งรีบและมองหาความสะดวกเริ่มมากขึ้น ทำให้บริษัทต้องปรับตัวและมองหาธุรกิจใหม่ ๆ ที่สามารถสร้างการเติบโตได้ระยะยาว โดยเฉพาะตลาดเครื่องดื่มกาแฟ

จากการศึกษาตลาดพบว่าปัจจุบันภาพรวมตลาดมีมูลค่ากว่า 42,537 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นกาแฟสด 4,119 ล้านบาท และมีอัตราขยายตัวเฉลี่ย 5% ต่อปี ประกอบกับพฤติกรรมคนรุ่นใหม่ เครื่องดื่มกาแฟถือเป็นเครื่องดื่มในชีวิตประจำวัน ซึ่งมีโอกาสและช่องว่างการเติบโตอย่างมาก

จากโอกาสการเติบโตดังกล่าว จึงพัฒนาตู้กดกาแฟอัตโนมัติ “คาเฟ่เต่าบิน” เป็นการต่อยอดจากธุรกิจตู้บุญเติมที่ประสบความสำเร็จมาก โดยคาเฟ่เต่าบินเป็นตู้ชงเครื่องดื่มอัตโนมัติที่ทำงานได้ 24 ชั่วโมง มีระบบ AI เสริมการให้บริการ ใช้พื้นที่น้อยเพียง 1 X 1 เมตร ชูจุดขายเมนูกาแฟสด

เมล็ดกาแฟสดนำเข้าจากแหล่งปลูกในประเทศไทยกับเอธิโอเปีย และใช้นมผงเกรดพรีเมี่ยมนำเข้าจากต่างประเทศ นอกจากกาแฟแล้วยังมีหมวดเครื่องดื่มอื่น ๆ ได้แก่ กลุ่มโซดา, กลุ่มกาแฟ, กลุ่มเครื่องดื่มใส่นม,กลุ่มชา, กลุ่มเครื่องดื่มผลไม้ และกลุ่มเวย์โปรตีน มากกว่า 170 รายการ ราคาเริ่มต้น 10 บาท (เมนูร้อน)

ไปจนถึงราคาพรีเมี่ยมระดับ 100-150 บาทเจาะลูกค้าทุกกลุ่ม โดยเริ่มให้บริการช่วงกลางปี 2564 ที่ผ่านมา ปัจจุบันมีประมาณ 700 ตู้ หลัก ๆ ตั้งอยู่ในพื้นที่โรงพยาบาล, สำนักงาน, มหาวิทยาลัย, คอนโด และสถานีรถไฟฟ้า

สามารถชำระเงินได้ทั้งเงินสด และ QR code ถ้าไม่รับเงินทอนก็สะสมยอดไว้ใช้ครั้งต่อไปได้ ทำให้ได้รับผลตอบรับค่อนข้างดี ปัจจุบันขายได้เฉลี่ย 70-100 แก้วต่อวัน โดยตู้ที่ขายดีสุด คือ โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งเคยทำสถิติสูงสุด 200 แก้วต่อวัน

กรรมการผู้จัดการ บริษัทฟอร์ท เวนดิ้งระบุว่า จากนี้ไปบริษัทจะให้น้ำหนักธุรกิจตู้เต่าบินมากขึ้น โดยปี 2565 ตั้งเป้าขยายเพิ่มให้ได้ 5,000 จุด และขยายเพิ่มอีก 20,000 จุด ภายในเวลา 3 ปี งบฯลงทุนอยู่ในหลักแสนบาท ไม่รวมโอเปอเรติ้งคอร์ส เน้นขยายจุดติดตั้งไปตามทำเลที่มีทราฟฟิกหนาแน่น

เช่น ออฟฟิศ คอนโดมิเนียม และโรงงาน โดยระยะแรกได้ขยายในกรุงเทพฯ และสเต็ปถัดไปเตรียมขยายไปหัวเมืองหลัก อาทิ ภูเก็ต ขอนแก่น เชียงใหม่ เป็นต้น และการขยายเป็นธุรกิจระบบเอเย่นต์ หรือระบบตัวแทน ที่จากเดิมทำธุรกิจตู้บุญเติมและอยากขยับขยายมาทำตู้เต่าบิน ขณะนี้ได้เปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจสมัครเข้ามาเป็นตัวแทนของบริษัทเพิ่มมากขึ้น

นอกจากนี้ ยังเตรียมเพิ่มโปรดักต์อื่น ๆให้หลากหลายมากขึ้น และอาจมีฟีเจอร์ใหม่ เช่น ชานมไข่มุก ที่กำลังได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่ รวมไปถึงการแตกไลน์สร้างตู้กดอาหารพร้อมทานเข้ามาจำหน่ายและวางขายอยู่ในทำเลเดียวกันกับตู้เต่าบินซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนา

“แม้ภาพการแข่งขันตู้เวนดิ้งแมชีนยังไม่มากนัก ถ้าเทียบกับการแข่งขันในธุรกิจอื่น ๆ ด้วยตลาดที่เป็นนิชมาร์เก็ต จึงต้องเน้นความหลากหลายเข้าถึงลูกค้าหลายกลุ่ม และมีความสะอาด รสชาติผลิตภัณฑ์ต้องดี

ที่สำคัญวันนี้ธุรกิจต้องนำสินค้าเข้าไปหาผู้บริโภค และในอนาคตตลาดตู้เวนดิ้งแมชีนในไทยยังมีศักยภาพที่จะเติบโตได้อีกมาก” นายสมกิจกล่าวและว่า

อย่างไรก็ตาม หลังจากขยายธุรกิจตู้กดกาแฟเต่าบินมีการปรับองค์กรทั้งการรับพนักงานเพิ่มขึ้นและอนาคตหากเต่าบินสามารถสร้างรายได้และกำไรตามเป้า ก็จะเป็น new S-curve หรือธุรกิจที่จะเป็นแหล่งรายได้ใหม่ที่สำคัญ ที่จะสนับสนุนให้บริษัทมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคต

“แม้เดิมทีบริษัทจะเป็นเทคคอมปะนี ไม่มีแบ็กกราวนด์การทำธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม แต่สามารถนำความชำนาญในด้านเทคโนโลยีเข้ามาตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคได้ โดยตู้คาเฟ่อัตโนมัติเต่าบินใช้เวลาพัฒนาราว ๆ 2 ปี พยายามเน้นทำเทคโนโลยีเรื่อง user interface เข้ามาช่วยและสร้างจุดแข็งให้แตกต่างจากเจ้าอื่น ๆ ในตลาด

เริ่มจากการผลิตและซ่อมเองได้ ทำให้เป็นจุดแข็งของเต่าบินในระยะยาว รวมไปถึงการให้ความสำคัญเรื่องยูสเซอร์ experience และมีทีม R&D ที่สามารถพัฒนาอินโนเวชั่นได้หลากหลายเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคได้ทุกรูปแบบ”