อาปิโก ไฮเทค คว้าออร์เดอร์ผลิตตัวถังรถ Vinfast อีกรุ่นยาว 3 ปี มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท หลังเทรนด์ตลาดอีวีโตพรวด ลั่นมีศักยภาพรับฐานการผลิตของค่ายรถอีวีในไทย
นายเย็บ ซู ชวน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อาปิโก ไฮเทค จำกัด (มหาชน) หรือ AH ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์และศูนย์บริการหลังการขาย และธุรกิจให้บริการด้านเทคโนโลยีการเชื่อมต่อ และ IOT (internet of things) เปิดเผยว่า บริษัทรับคำสั่งซื้อ (ออร์เดอร์) ชิ้นส่วนประกอบตัวถังสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) รุ่นที่ 2 คิดเป็นมูลค่ากว่า 300 ล้านบาท จากบริษัท วินฟาสต์ จำกัด (Vinfast) ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเวียดนาม เพื่อใช้ประกอบตัวถังรถยนต์ไฟฟ้าของ Vinfast รุ่น VF9 เพื่อส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา แคนาดา ยุโรป และจำหน่ายในเวียดนาม
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร 3 ราย
- ดร.วิวัฒน์ กรมดิษฐ์ ผู้อยู่เบื้องหลัง “บ้านกรมดิษฐ์” บ้านสวนลอยฟ้า
สำหรับคำสั่งซื้อดังกล่าว มีสัญญาจ้างผลิตและเริ่มส่งมอบตั้งแต่เดือนมกราคม 2566 ไปจนถึงปี 2568 ก่อนหน้านี้บริษัทได้เริ่มส่งมอบชิ้นส่วนประกอบตัวถัง รุ่นที่ 1 ไปแล้วช่วงปลายเดือนตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา
นอกจากนี้บริษัทมีการผลิตชิ้นส่วนสำหรับรถยนต์รุ่นอื่น ๆ ที่ผลิตในเวียดนามให้กับ Vinfast อีกด้วย ได้แก่ ชิ้นส่วนเปิด-ปิดประตู และชิ้นส่วนพลาสติก เป็นต้น ทำให้มีโอกาสในการขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น ถือเป็นผลดีต่อศักยภาพการเพิ่มรายได้และความสามารถการทำกำไรในอนาคต
“ตลาดรถ EV มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และถือว่าเกิดการผลักดันการใช้งานรวดเร็ว เห็นได้จากผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น”
ขณะที่ไทยยังเป็นเป้าหมายที่นักลงทุนและค่ายรถยนต์ระดับโลกตัดสินใจเข้ามาลงทุนสร้างฐานการผลิต และตั้งสำนักงานขายในไทย คาดจะเริ่มมีการผลิตรถ EV ในไทยตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป ซึ่งอาปิโกฯ สามารถผลิตชิ้นส่วนให้แก่ลูกค้ากลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าได้ และมีความพร้อมในด้านการผลิตอย่างเต็มที่ เพราะชิ้นส่วนยานยนต์ ระหว่างรถ EV และรถสันดาป มีลักษณะใกล้เคียงกัน ต่างกันเพียงตัวเครื่องยนต์เท่านั้น”
ทั้งนี้ อาปิโกฯคาดว่าปี 2566 จะมีรายได้เติบโตต่อเนื่องเมื่อเทียบกับปี 2565 เพราะคำสั่งซื้อชิ้นส่วนยานยนต์เพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ประกอบกับได้รับงานในส่วนของโมเดลใหม่เข้ามาสนับสนุนเพิ่มเติม ตลอดจนธุรกิจยังสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้เป็นอย่างดี หลังจากปี 2565 เป็นอีกปีที่เติบโตดีสุด บริษัทมั่นใจว่ารายได้รวมเติบโตอยู่ที่ 30% ตามแผน เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 20,967 ล้านบาท ภายใต้กลยุทธ์เพิ่มประสิทธิภาพและมองหาโอกาสสร้างการเติบโตต่อเนื่องในอนาคต