“บีเอ็มดับเบิลยู” สร้างเซอร์ไพรส์ กอดแชมป์พรีเมี่ยมคาร์สองปีซ้อน

ตลาดพรีเมี่ยมคาร์ร้อนฉ่า “บีเอ็มดับเบิลยู” กอดแชมป์สองปีซ้อนปาดหน้า “เมอร์เซเดส-เบนซ์” 262 คัน  ชี้ “Power of Choice” หรือความหลากหลายของตัวสินค้าออกฤทธิ์ ลูกค้าจับต้องง่ายขึ้น

ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานยอดจดทะเบียนรถยนต์ในกลุ่มพรีเมี่ยมของกรมการขนส่งทางบก ระหว่างวันที่ 1 ม.ค. ถึง 31 ธ.ค. 2564 ที่ผ่านมาพบว่า 5 อันดับแรกที่มียอดจดทะเบียนสูงสุด ได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู มียอดจดทะเบียน 9,982 คัน ตามมาด้วย เมอร์เซเดส-เบนซ์ จำนวน 9,819 คัน, วอลโว่ 1,553 คัน, ออดี้ 1,177 คัน และเลกซัส 595 คัน ส่วนรถยนต์มินิ ในเครือบีเอ็มดับเบิลยู ยังปรากฎยอดจดทะเบียนอีก 1,050 คัน

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า การวัดผลของรถยนต์ในกลุ่มพรีเมี่ยม ณ.ปัจจุบันใช้ข้อมูลการจดทะเบียนของกรมขนส่งทางบก เนื่องจากรถยนต์ในกลุ่มนี้ได้ยกเลิกการแจ้งยอดขายกับทางสมาคมผู้ผลิตรถยนต์ยุโรปไปแล้ว ทั้งนี้บีเอ็มดับเบิลยู ซึ่งมียอดจดทะเบียนสูงกว่าจึงกลายเป็นผู้นำในตลาดประจำปี 2564 และเป็นการขึ้นนำ 2 ปีติดต่อกัน โดยในปี 2563 ที่ผ่านมาถือเป็นชัยชนะครั้งแรกในรอบ 20 ปี

“ในตัวเลขยอดจดทะเบียนของเมอร์เซเดส-เบนซ์ หากไม่นับรวมกลุ่มรถตู้ V Class 99 คัน เมอร์เซเดส-เบนซ์จะมียอดจดทะเบียนแค่ 9,621 คัน น้อยกว่าบีเอ็มดับเบิลยูถึง 262 คัน”

อเล็กซานเดอร์ บารากา

ล่าสุดนายอเล็กซานเดอร์ บารากา ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ได้ส่งจดหมายถึงคู่ค้าทางธุรกิจและผู้บริหารของตัวแทนจำหน่ายรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูทั่วประเทศรวมถึงพนักงาน แสดงความยินดีถึงความสำเร็จของ บีเอ็มดับเบิลยูในปี 2564 ที่ผ่านมา ว่า บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ไทยแลนด์ ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำในกลุ่มรถพรีเมี่ยมเอาไว้ได้ ด้วยการแซงหน้าคู่แข่งหลักด้วยตัวเลขถึง 3 หลัก ซึ่งเป็นผลมากจากการทุ่มเทของทุกคน รวมถึงผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Power of Choice ตอบสนองความต้องการที่หลากหลายและเติมเต็มไลฟสไตลล์ของลูกค้าในทุกด้าน ช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ทั้ง รถยนต์ในกลุ่มเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE),ปลั๊ก-อิน ไฮบริด (PHVE) และรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) นอกจากนี้รถยนต์มินิ ยังสร้างสถิติใหม่ ด้วยยอดจดทะเบียนเป็นประวัติการณ์ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราดมีอัตราเติบโตถึง 23%

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า การแข่งขันในเซ็กเมนต์พรีเมี่ยมคาร์ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาดุเดือดมาก ชัยชนะของบีเอ็มดับเบิลผู้เชี่ยวชาญในวงการขายรถยนต์มองว่า มาจากความหลากหลายของตัวโปรดักต์ซึ่งมีระดับราคาที่จับต้องง่าย โดยเฉพาะกลุ่มรถยนต์ระดับราคา 1.5-2.5 ล้านบาท ผสานกับการเพิ่มระยะเวลาการดูแลรถ (BSI) การขยายระยะเวลารับประกันรถ (วอร์แรนตี) ช่วยทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น ในขณะที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังมอบประสบการณ์ให้กับลูกค้าได้น้อยกว่า แม้ว่าทั้งสองแบรนด์จะมีดีลเลอร์ที่มีความแข็งแกร่งไม่ต่างกัน

“แต่ถ้าดูจากจำนวนเมอร์เซเดส-เบนซ์ มีดีลเลอร์มากกว่าบีเอ็มดับเบิลยูจริง แต่ท็อป 5 ของแต่ละดีลเลอร์ภาวะการขายสูสีกันมาก ต่างจากบีเอ็มดับเบิลยูซึ่งมีมิลเลนเนียม ออโต้ ของกลุ่มเอ็มจีซี เอเชีย เป็นเมกะดีลเลอร์ มีสัดส่วนการขายมากถึง 50% มีช่องทางขายกว่า 8 แห่ง มีอาวุธหนักพร้อมรุกทำตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ แถมยังมีมาร์เก็ตติ้งส่วนตัวเสริมตลอดทั้งปี อาทิ เอ็มจีซี เอเชีย ออโตเฟสติวัล,เดโมคาร์โชว์, รถผู้บริหารมือสองป้ายแดงไมล์น้อย, รถมือสองสภาพสวยงาม ที่มาช่วยกระตุ้นตัวเลขการขายรถใหม่ รวมทั้งยังเข้าร่วมงานโชว์รถยนต์ที่เป็นอีเวนต์ใหญ่ ๆ เกือบทุกงานถือเป็นตัวเร่งที่สำคัญ”