“คาร์ซีต” ดีมานด์พุ่งของขาด มือสองขายดียอดโตเท่าตัว

คาร์ซีต

ตลาดคาร์ซีตคึกคัก เด้งรับ พ.ร.บ.จราจรทางบก ฉบับใหม่ เผยดีมานด์พุ่ง ทำสินค้าไม่พอขาย ร้านเปิดรับพรีออร์เดอร์-รอ 1 เดือน คาร์ซีตมือสองยอดโตเท่าตัว ส่วนค่ายรถเตรียมจัดโปรแจกคาร์ซีต กรมศุลฯถกสภาอุตฯ เตรียมชงคลังลดภาษีนำเข้าช่วยผู้บริโภค

สร้างความตื่นตัวให้กับบรรดาผู้ปกครองที่มีลูกเด็กเล็กแดง และปลุกตลาดที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก (car seat) ให้มีความคึกคักขึ้นมาในทันที สำหรับราชกิจจานุเบกษา ที่เผยแพร่ พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2565 เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2565 ที่กำหนดให้คนโดยสารที่เป็นเด็กอายุไม่เกิน 6 ขวบ ต้องจัดให้นั่งในที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กหรือที่นั่งพิเศษสำหรับเด็กเพื่อป้องกันอันตราย (car seat) และระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท ซึ่งจะมีผลใช้บังคับในอีก 120 วัน หรือวันที่ 5 กันยายน

และระหว่างนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติอยู่ระหว่างการร่างข้อกำหนดต่าง ๆ ก่อนที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้ และในช่วงแรกนี้ กองบัญชาการตำรวจนครบาลจะเน้นการประชาสัมพันธ์ จะยังไม่มีการตั้งด่านตรวจหรือจับปรับ แต่หากเป็นเหตุซึ่งหน้าจะเน้นการตักเตือนประชาสัมพันธ์ให้แก้ไขให้ถูกต้องเท่านั้น

คาร์ซีตคึกคัก-ของขาด

นายกิตติพจน์ บูรณะบุญวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลวี่ สตาร์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย สินค้าแม่และเด็ก แบรนด์ “โกลวี่ สตาร์” (Glowy Star) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า หลังการมีกฎหมายฉบับใหม่ออกมากทำให้ดีมานด์คาร์ซีตพุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มบูสเตอร์ซีต (คาร์ซีต ที่ไม่มีเข็มขัดนิรภัยในตัว สำหรับเด็กโตอายุ 3-5 ขวบ) เนื่องจากเป็นช่วงอายุที่ผู้ปกครองมักเลิกใช้คาร์ซีตแล้ว จึงทำให้คนกลุ่มนี้หันกลับมาซื้อใหม่

ส่งผลให้สินค้าบางรุ่นของบริษัทเริ่มขาด บริษัทจึงมีการเปิดพรีออร์เดอร์ และเพิ่มปริมาณการสั่งซื้อสินค้าจากโรงงาน ระยะเวลารอสินค้าประมาณ 1 เดือน สามารถผ่อนชำระ 0% นาน 10 เดือน

“ดีมานด์ที่สูงและสถานการณ์สินค้าขาดนี้คาดว่าจะเป็นเพียงช่วงสั้น ๆ ไม่เกิน 3 เดือน เนื่องจากตอนนี้ผู้บริโภคกำลังตื่นตัวกับ กม.ใหม่ ขณะที่ผู้นำเข้ามักไม่สต๊อกสินค้ามาก เพราะขนาดตลาดไม่ใหญ่และดีมานด์ค่อนข้างทรงตัว และคาดว่าตลาดรวมปีนี้น่าจะเติบโตประมาณ 20-30%”

นายกิตติพจน์ยังระบุด้วยว่า ปัจจุบันตลาดคาร์ซีตยังไม่มีการรวบรวมมูลค่าตลาดที่ชัดเจน แต่คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท เป็นการประเมินจากจำนวนเด็กเกิดในแต่ละปีที่ประมาณ 5 แสนคน และราคาเฉลี่ยสินค้าที่ 4,000 บาท และมีผู้เล่นหลากหลายแบรนด์ ทั้งญี่ปุ่น ยุโรป สหรัฐ ไทย ฯลฯ จากความตื่นตัวที่มีมากขึ้นดังกล่าว

เชื่อว่าผู้จำหน่ายจะไม่กล้าขึ้นราคาสินค้า เนื่องจากตลาดมีผู้เล่นจำนวนมาก และสินค้าระดับราคาหนึ่งอาจมีตัวเลือกมากถึง 10 แบรนด์ และจากนี้ไปคาดว่าจะมีแบรนด์ใหม่ ๆ กระโดดเข้ามาในตลาดเพิ่ม หากใครขึ้นราคา ผู้บริโภคก็จะไปซื้อยี่ห้ออื่นแทน รวมทั้งการแข่งขันลดราคาก็น่าเกิดขึ้นยาก เพราะทุกคนต่างได้ผลกระทบจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ทั้งพลาสติก โลหะและค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น

ขณะที่แหล่งข่าวจากร้านสินค้าแม่และเด็ก “เบบี้ แอนด์ คิดส์” ตัวแทนจำหน่ายคาร์ซีต 11 ยี่ห้อ กล่าวว่า ตั้งแต่มีการประกาศ กม.ใหม่ ยอดขายและจำนวนลูกค้าที่เข้ามาสอบถามสินค้าเพิ่มขึ้นในทั้งสาขาปิ่นเกล้า, งามวงศ์วาน และออนไลน์ ทำให้ยอดขายหน้าร้านโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นระดับหนึ่ง

ปัจจุบันคาร์ซีตที่มีในตลาดมีค่อยข้างหลากหลาย ทั้งจากยุโรป, ญี่ปุ่น รวมถึงไทย ราคาตั้งแต่ 2,000-3,000 บาท ไปจนถึงมากกว่า 30,000 บาท ตามแบรนด์ ฟังก์ชั่นและวัตถุดิบ

โดยมีแบรนด์ยอดนิยม เช่น NUNA, CHICCO, Apramo, Joie และแบรนด์ไทยอย่าง Glowy star ซึ่งได้รับความนิยมเพราะราคาจับต้องได้ เริ่ม 2,000 บาท จนถึงไม่เกิน 10,000 บาท และติดตั้งได้ 2 ระบบ ทั้ง Isofix และเข็มขัดนิรภัย

ปัจจุบันสินค้าบางรายการโดยเฉพาะกลุ่มเด็กโต (3-5 ขวบ) อย่างบูสเตอร์ซีตของขาดเช่นกัน หลังพ่อแม่ที่เคยใช้คาร์ซีตมาก่อนในช่วงลูกแรกเกิดก่อนจะเลิกใช้เพราะเมื่อเด็กโตมักไม่ยอมนั่ง กลับมาซื้อซ้ำหลังมี กม.ใหม่ ออกมา ซึ่งร้านเปิดพรีออร์เดอร์ประมาณ 10-15 วัน รวมถึงเพิ่มยอดการสั่งซื้อไปยังผู้นำเข้าแล้ว

ในแง่ราคาตอนนี้ยังไม่มีการปรับขึ้นมากนัก มีบางแบรนด์ขึ้นราคาเล็กน้อยประมาณ 200-300 บาท และเดิมก่อนหน้าการประกาศ กม.ใหม่ มีการขึ้นราคาเป็นช่วง ๆ ตามสถานการณ์ต้นทุนค่าขนส่งเพราะเป็นสินค้านำเข้า อย่างไรก็ตาม ร้านจัดโปรโมชั่นลดราคาอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน

ปลุกคาร์ซีตมือสองโตเท่าตัว

แหล่งข่าวจากร้านคาร์ซีต-รถเข็นเด็กมือสอง นำเข้าจากญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง ให้ข้อมูลในเรื่องนี้ว่า ว่า หลังมีการประกาศราชกิจจาฯดังกล่าวออกมาพบว่า ตลอดช่วงกว่า 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีลูกค้าสอบถามเพื่อหาซื้อคาร์ซีตเข้ามาเป็นจำนวนมาก เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

เช่นจากก่อนหน้าเคยมียอดขายสัปดาห์ละ 5 ชิ้น เพิ่มเป็น 10-15 ชิ้น และหลังจากมีประกาศออกมาร้านก็ไม่ได้มีการปรับขึ้นราคาแต่อย่างใด เพราะเป็นธุรกิจคาร์ซีตมือสอง ตรงกันข้ามมีแต่จะปรับราคาลงเพื่อรับมือการแข่งขันที่มากขึ้น เนื่องจากคาร์ซีตเป็นสินค้าจำเป็นในต่างประเทศและที่มีการเปลี่ยนรุ่นค่อนข้างเร็ว

ดังนั้น การปรับขึ้นราคาอาจจะทำให้ขายไม่ได้และมีสินค้าสต๊อกเหลือ และเชื่อว่าหลังจากนี้จะมีผู้เล่นมากขึ้นและอาจจะแข่งขันด้านราคา-โปรโมชั่นมากกว่าจะปรับราคาขึ้นในระยะยาว

“ช่วงสัปดาห์แรกแม้จะมีลูกค้าเข้ามาสอบถามเป็นจำนวนมาก แต่ในตอนนี้ หลังจากลูกค้าเริ่มศึกษาและรู้จักคาร์ซีตมากขึ้น กระแสก็น้อยลง ซึ่งมองว่าประกาศดังกล่าวจะกระตุ้นให้ลูกค้าเริ่มตระหนักถึงการใช้งานคาร์ซีตมากขึ้นและเพื่อรองรับความต้องการที่คาดว่าจะมีมากขึ้น ในช่วงแรกนี้ได้มีการเตรียมสต๊อกคาร์ซีตมือสองจากประเทศญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นราว 20-30% เนื่องจากกังวลว่าอาจจะเป็นกระแสเฉพาะในช่วงแรก ๆ เท่านั้น และยังต้องจับตาดูทิศทางตลาดก่อน”

แหล่งข่าวรายนี้กล่าวว่า หลังจากนี้ไปคาดว่า ตลาดคาร์ซีตมือสองจะมีผู้ประกอบการเข้ามาเล่นในตลาดเพิ่มมากขึ้น และส่งผลให้ตลาดเติบโตขึ้น และจากปัญหากำลังซื้อที่ค่อนข้างชะลอตัวจะทำให้คนหันมานิยมซื้อสินค้ามือสองมากขึ้น เนื่องจากมีราคาที่จับต้องได้และคุณภาพยังดี ซึ่งจะทำให้ตลาดคาร์ซีตมือสองปีนี้โตเพิ่มเป็น 1-3 เท่าตัว ซึ่งคาร์ซีตมือสอง ที่บริษัทจำหน่าย มีระดับราคาตั้งแต่ 3,000-16,000 บาท ถูกกว่ารุ่นใหม่ 50% หรือมากกว่านั้น

ค่ายรถเตรียมจัดโปรฯแจกคาร์ซีต

แหล่งข่าวดีลเลอร์รถยนต์รายใหญ่ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า พ.ร.บ.จราจรทางบกฉบับแก้ไขปรับปรุงซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในอีก 4 เดือนข้างหน้า บังคับใช้คาร์ซีตสำหรับเด็กที่โดยสารรถยนต์อายุไม่เกิน 6 ขวบจัดเป็นเรื่องดีมากที่ผู้บังคับใช้ กม.มองเรื่องความปลอดภัยอันดับแรก และค่ายรถยนต์กำลังพิจารณานำประเด็นนี้มาทำโปรโมชั่น ซื้อรถแถมคาร์ซีต ซึ่งจะคล้ายกับรถจัรยานยนต์ที่ปัจจุบันนอกจากประกันภัยก็ยังแถมหมวกกันน็อก ที่ได้มาตรฐาน สมอ. ให้ลูกค้าเพราะสามารถนำไปใช้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง

ขณะที่นายชัยยุทธ คำคุณ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากรในฐานะโฆษกกรมศุลกากร ระบุว่า คาร์ซีตจัดเป็นของในประเภทพิกัด 9401.80.00 มีอัตราอากรขาเข้าอยู่ที่ 20% แต่หากนำเข้าภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ที่ประเทศไทยมีอยู่ก็จะสามารถใช้สิทธิพิเศษยกเว้นอากรขาเข้าได้สำหรับทุกความตกลง

และการลดอัตราอากรขาเข้าเป็นการทั่วไปให้ต่ำกว่า 20% นั้น เป็นเรื่องนโยบายซึ่งกรมศุลกากรอยู่ระหว่างการหารือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อนำเสนอต่อกระทรวงการคลัง และคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อให้อัตราอากรของที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กอยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อประโยชน์ต่อผู้บริโภคและไม่กระทบต่อผู้ผลิตในประเทศ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 11 พ.ค.ที่ผ่านมา กรมการค้าภายในได้หารือกับห้างสรรพสินค้า ห้างค้าปลีกค้าส่งและแพลตฟอร์ม เพื่อขอความร่วมมือไม่ให้ขึ้นราคาคาร์ซีต และขึ้นบัญชีเป็นสินค้าที่ต้องจับตามอง (WL) ประจำเดือน พ.ค. 65

ยกเครื่อง มอก.ภาคบังคับ

แหล่งข่าวกระทรวงอุตสาหกรรมเปิดเผยว่า ปัจจุบันคาร์ซีตมีมาตรฐานที่ออกโดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ มอก.3187-2564 ระบบยึดเหนี่ยวผู้โดยสารเด็กขั้นสูง เป็นมาตรฐานทั่วไป โดยในวันที่ 17 พ.ค. 2565 นี้ จะนำเรื่องเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) พิจารณาเพื่อประกาศเป็นมาตรฐานบังคับโดยเร็วที่สุด โดยตามกระบวนการจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน ซึ่งในรายละเอียดของมาตรฐานดังกล่าวคาดว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะหากปรับรายละเอียดก็จะช้าออกไปอีก