คอลัมน์ : Market-think ผู้เขียน : สรกล อดุลยานนท์
ไม่ใช่เพียงสำนักพิมพ์ต่าง ๆ เท่านั้นที่ปลื้มปริ่มกับบรรยากาศในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 27
คนรักหนังสือทุกคนก็เช่นกัน
- มอเตอร์โชว์ 2024 เริ่มแล้ว
- คำแนะนำจาก ซีอีโอ “ฮั่วเซ่งเฮง” ยุคทอง (โคตร) แพง ต้องลงทุนอย่างไร ?
- ยื่นภาษีปี 2567 หมดเขตเมื่อไหร่ ยื่นไม่ทันต้องทำอย่างไร
เพราะเป็นการประกาศให้ทุกคนได้รับรู้โดยทั่วกันว่า “หนังสือยังไม่ตาย”
ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา คนในแวดวงหนังสือค่อนข้างหวั่นไหวกับผลประกอบการทางธุรกิจ
ยอดขายหนังสือทั้งหนังสือพิมพ์ นิตยสาร และพ็อกเกตบุ๊ก ลดลง
บางประเภทก็ลดมาก บางประเภทก็แค่ปรับลดเล็กน้อย
แต่ที่น่ากลัวก็คือ เอเย่นต์ และร้านหนังสือปิดตัวลงเรื่อย ๆ
เมื่อช่องทางการขายดั้งเดิมลดน้อยลง ยอดขายก็ต่ำลงเป็นธรรมดา
แม้ช่วงหลัง “หนังสือ” ก็เหมือนสินค้าทั่วไปที่ปรับตัวเข้าหาช่องทางออนไลน์มากขึ้น
แต่ยอดจำหน่ายก็ยังไม่สามารถทดแทนช่องทางเดิมได้
ในจำนวนหนังสือทั้งหมด “พ็อกเกตบุ๊ก” ดูจะเป็น “ความหวัง” ของคนในแวดวงหนังสือ
เพราะไม่ต้องแข่งเรื่อง “เวลา” กับสื่อออนไลน์เหมือนหนังสือพิมพ์และนิตยสาร
หนังสือพ็อกเกตบุ๊กยังรักษาระดับยอดขายไว้ได้ แม้จะลดต่ำลงบ้างเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้
สำนักพิมพ์ใหม่ ๆ ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แนวหนังสือก็พัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสความนิยม
ตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุด คือ นิยายวาย
ตอนที่ออกมาช่วงแรก ๆ ร้านหนังสือหลายแห่งประกาศเลยว่า ไม่ขายนิยายวาย เพราะมีแรงต้านจากพ่อแม่บางกลุ่ม
แต่วันนี้ “นิยายวาย” กลายเป็นหนังสือยอดนิยม เหมือนกับซีรีส์วาย
ร้านหนังสือที่เคยประกาศไม่ขาย ตอนนี้ทำเป็นชั้นหนังสือเฉพาะเลย
ติดป้ายชัดเจนว่า “นิยายวาย”
สถานการณ์ของวงการพ็อกเกตบุ๊กช่วงที่ผ่านมายังคงรักษาระดับความคึกคักได้
2 งานใหญ่แห่งปีของวงการหนังสือ คืองานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติกับงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ คนยังแน่นขนัดเหมือนเดิม
ผู้บริหารศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เคยบอกว่าเป็นงานที่มีคนมาร่วมงานมากที่สุด
จนกระทั่ง…
เมื่อ 2 ปีก่อน ศูนย์สิริกิติ์ประกาศหยุดปรับปรุงครั้งใหญ่
งานหนังสือต้องย้ายไปที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี
สถานที่จัดงานดีมาก แต่ระบบการเดินทางที่ไกลจากกลางเมือง และไม่มีขนส่งมวลชนอย่างรถไฟฟ้าที่รองรับคนจำนวนมากแบบงานหนังสือ
ทำให้จำนวนคนที่ไปงานหนังสือลดลงอย่างน่าตกใจ
โดยเฉพาะวันธรรมดา ที่ตามปกติคนทำงานจะไปเดินงานช่วงเย็น และมีเวลาเดินดูหนังสือสัก 3-4 ชั่วโมง
แต่พอเปลี่ยนสถานที่เป็นเมืองทองธานี กว่าจะเดินทางไปถึงก็เหลือเวลาแค่ 1-2 ชั่วโมง
ปัจจัยด้านลบดังกล่าวทำให้งานหนังสือที่เคยแน่นขนัดด้วยผู้คนเหงาหงอยลงอย่างเห็นได้ชัด
แม้ครั้งล่าสุดจะเปลี่ยนไปจัดงานที่ศูนย์บางซื่อ ที่อยู่ใกล้กลางเมืองและมีระบบขนส่งมวลชนรองรับ
จำนวนคนอาจเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ก็ยังไม่สามารถเรียกขวัญกำลังใจของคนในแวดวงหนังสือได้
จนกระทั่ง…
ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ปรับปรุงเสร็จเรียบร้อย
สวยงามและยิ่งใหญ่กว่าเดิม
งานมหกรรมหนังสือระดับชาติจึงย้ายวิกกลับมาที่เดิม
ใครจะไปนึกว่าเพียงแต่เปลี่ยน “ทำเล” บรรยากาศเก่า ๆ ก็กลับมาทันที
งานหนังสือคึกคักสุด ๆ คนเบียดเสียดกันจน “ดวงฤทธิ์ บุนนาค” เขียนเล่น ๆ ในเฟซบุ๊กของเขาว่า รัฐบาลควรประกาศให้ศูนย์สิริกิติ์เป็นพื้นที่ภัยพิบัติได้แล้ว
เพราะคนแน่นมากกก…
สำนักพิมพ์ต่าง ๆ ยิ้มระรื่นกันถ้วนหน้า
เพราะรายได้จาก 2 งานนี้ คือ “เส้นเลือดใหญ่” ของสำนักพิมพ์
เป็น “เงินสด” เข้ากระเป๋าทันที ไม่ใช่ระบบ “เครดิต” เหมือนกับการขายฝากตามร้านหนังสือ
นอกจากสำนักพิมพ์ และคนรักหนังสือจะยิ้มแย้มแจ่มใสจากยอดขายและจำนวนคนที่ไปงานมหกรรมหนังสือ
มีอีกคนหนึ่งที่น่าจะดีใจ
นั่นคือ ผู้บริหารศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
เพราะงานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 27 ถือเป็นงานเปิดตัวศูนย์สิริกิติ์ใหม่ที่ดีที่สุด
อยู่ดี ๆ คนก็เดินทางมาสัมผัสกับศูนย์สิริกิติ์จำนวนเป็นแสนคน
ไม่ต้องเสียเงินจัดอีเวนต์สักบาทเดียว
แถมได้เงินค่าเช่าสถานที่จากสำนักพิมพ์ต่าง ๆ ด้วย
ครับ งานนี้ “วิน-วิน-วิน” กันทุกฝ่าย