รัฐบาลเตรียมเปิดรถไฟทางไกล 5 เส้นทางใหม่ ภายในปี 2565

เปิดรถไฟทางไกล 5 เส้นทางใหม่ ภายในปี 2565
ภาพจาก Facebook ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย

รัฐบาลเดินหน้าขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานระบบราง เตรียมเปิดให้บริการอีก 5 เส้นทางภายในปี 2565

วันที่ 20 กันยายน 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเร่งพัฒนาขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานระบบรางของประเทศ ตามนโยบายเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมอย่างเป็นระบบ

เพื่อยกระดับการเดินทางให้สะดวกรวดเร็ว และแก้ปัญหาการจราจรที่จะทำให้คุณภาพชีวิตของคนไทยดีขึ้น รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งและโลจิสติกส์เพื่อลดต้นทุนการขนส่งและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

ทั้งนี้ โครงข่ายรถไฟทางไกลรองรับการขนส่งจากถนนสู่ระบบราง และจากทางเดี่ยวสู่ทางคู่ ประกอบด้วยโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะเร่งด่วน 7 เส้นทาง ระยะทาง 985 กิโลเมตร มีความคืบหน้าเป็นอย่างดี ประกอบด้วย เส้นทางที่ก่อสร้างเสร็จแล้วจำนวน 2 เส้นทาง ได้แก่

  1. ช่วงชุมทางฉะเชิงเทรา-ชุมทางคลองสิบเก้า-ชุมทางแก่งคอย ระยะทาง 106 กิโลเมตร เปิดให้บริการแล้วเมื่อปี 2562
  2. ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ระยะทาง 187 กิโลเมตร เปิดให้บริการแล้วเมื่อปี 2563

และอีก 5 เส้นทางที่คาดว่าจะเปิดให้บริการภายในปี 2565 นี้

ทั้งนี้ 5 เส้นทางที่อยู่ในระหว่างการดำเนินการก่อสร้างและเตรียมเปิดให้บริการ ได้แก่

  1. ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ ระยะทาง 145 กิโลเมตร
  2. ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ระยะทาง 135 กิโลเมตร
  3. ช่วงนครปฐม-หัวหิน ระยะทาง 169 กิโลเมตร
  4. ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทางรวม 76 กิโลเมตร
  5. ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ระยะทางรวม 167 กิโลเมตร

โดยเมื่อดำเนินการก่อสร้างเสร็จแล้ว จะสามารถเพิ่มความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ในการเดินทาง รวมถึงการขนส่งสินค้า อีกทั้งยังเชื่อมโยงโครงข่ายการคมนาคมพื้นฐานด้านอื่น ๆ ของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นายอนุชากล่าวย้ำว่า โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ตามนโยบายรัฐบาลนี้ ถือเป็นการยกระดับการเดินทางที่สำคัญ เพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการขนส่งระบบราง ลดต้นทุนการขนส่งระบบโลจิสติกส์ เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าทางรถไฟ ลดระยะเวลาในการเดินทางได้อย่างชัดเจน อาทิ การเดินทางโดยรถไฟจากกรุงเทพฯ ไปยังสถานีหัวหิน จากเดิมใช้เวลาเดินทาง 5 ชั่วโมง จะเหลือเพียงประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น


อีกทั้งเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิต ประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง ลดปัญหามลพิษต่อสิ่งแวดล้อม เชื่อมโยงเครือข่ายการบริหารจัดการระบบขนส่งมวลชน สินค้า และบริการ ทั้งในพื้นที่ชนบท เมือง และประเทศเพื่อนบ้านอย่างมีประสิทธิภาพ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน