ไอติม พริษฐ์ ตั้งข้อสังเกตการครอบครองปืนในไทย #กราดยิงหนองบัวลำภู

พริษฐ์ วัชรสินธุ ก้าวไกล ข้อสังเกตการครอบครองปืน

ไอติม พริษฐ์ ตั้งข้อสังเกตการครอบครองปืน ชี้เพิ่มความเข้มงวด ยังไม่ใช่เรื่องเดียวที่ต้องแก้ เร่งรัฐเร่งแก้ปัญหา ก่อนเกิดเหตุซ้ำรอย

วันที่ 7 ตุลาคม 2565 นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้จัดการการสื่อสารและการรณรงค์นโยบาย พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก อบต.อุทัยสวรรค์ จ.หนองบัวลำภู โดยระบุว่า

คำพูดใด ๆ คงไม่สามารถอธิบายได้ทั้งหมดถึงความรู้สึกโศกเศร้า หดหู่ โกรธแค้น และ ใจสลาย ที่ผมเชื่อว่าพวกเราทุกคนคงมีร่วมกัน กับโศกนาฎกรรม #กราดยิงหนองบัวลำภู ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน-ผมขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียทุกคน และขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนในการร่วมกันเยียวยาบาดแผลที่เกิดขึ้นอีกครั้งในสังคม

ภารกิจที่สำคัญของพวกเรา คือการร่วมกันหาทางออกในการป้องกันเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ให้เกิดขึ้นอีก และร่วมกันออกแบบสังคมที่เราทุกคนใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัย

แน่นอนว่าเหตุการณ์นี้และเหตุการณ์กราดยิงในครั้งก่อน ๆ สะท้อนถึงสารพัดปัญหาที่หมักหมมมายาวนานในสังคมไทย และที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเริ่มออกมาฉายภาพให้เห็นอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องการใช้และการแพร่ระบาดของยาเสพติด การคัดกรองเจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจ ระบอบอุปถัมภ์และวัฒนธรรมอำนาจนิยมในองค์กร ความล่าช้าของตำรวจในการเข้าถึงที่เกิดเหตุ หรือการขาดแคลนระบบแจ้งเตือนเหตุฉุกเฉินกับประชาชน

แต่ปัญหาหนึ่งที่มีส่วนสำคัญเช่นกัน คือปัญหาเรื่อง “การเข้าถึงและครอบครองอาวุธปืน” ทั้งที่ถูกและผิดกฎหมาย และทั้งโดยเจ้าหน้าที่-อดีตเจ้าหน้าที่ และโดยประชาชนทั่วไป

ไทยติดอันดับ 3 ในเอเชีย เสียชีวิตจากปืน

นายพริษฐ์ได้ยกสถิติเกี่ยวกับการเสียชีวิตจากอาวุธปืน โดยระบุว่าสถิติหนึ่งที่ผมค้นพบและรู้สึกตกใจคือ ปัจจุบันประเทศไทยมีอัตราผู้เสียชีวิตจากอาชญากรรมปืนสูงสุดเป็นอันดับ 3 ของทวีปเอเชีย (3.91 ต่อประชากร 100,000 คน)-รองจากแค่อิรัก (9.94) และฟิลิปปินส์ (8.02) และสูงกว่า มาเลเซีย (0.53) เวียดนาม (0.52) เกาหลีใต้ (0.08) ญี่ปุ่น (0.08) และสิงคโปร์ (0.05) หลายเท่าตัว

ถึงแม้สหรัฐอเมริกา (10.95)-ซึ่งเป็นที่รับรู้กันว่าเป็นประเทศที่มีปัญหาเรื่องกราดยิงเยอะเป็นพิเศษ โดยบางส่วนมองว่าเป็นผลจากนโยบายปืนเสรีที่ทำให้ประชาชนเข้าถึงปืนได้ง่ายกว่าในอีกหลายประเทศ-ในช่วงหลัง ๆ จะมีสถิติที่แย่กว่าประเทศไทยพอควร แต่ไม่กี่ปีก่อนก็มีสถิติที่ไม่ห่าง (หรือบางปีดีกว่า) ในไทยด้วยซ้ำ

เพิ่มความเข้มงวดครอบครองปืน ยังไม่ใช่สิ่งเดียวที่ต้องทำ

นายพริษฐ์ระบุว่า แน่นอนว่าทางออกในประเทศเราคงไม่ได้เรียบง่ายแค่การเพิ่มความเข้มงวดของเกณฑ์การครอบครองปืน แต่ผม (ซึ่งขอออกตัวก่อนว่าไม่ได้เป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญในประเด็นนี้) มีข้อสังเกตเกี่ยวกับระบบ-กฎหมาย-การบังคับใช้ ด้านการเข้าถึงอาวุธปืนที่อาจมีปัญหาบางจุด และต้องขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญในการมาช่วยออกความเห็นและเติมเต็ม (แม้ไม่ใช่ทุกประเด็น จะเกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์ที่หนองบัวลำภูเมื่อวาน)

1.เกณฑ์การขอใบอนุญาตมีปืนถูกกฎหมาย ไม่ครอบคลุมด้านสุขภาพจิต-ไม่มีการสอบวัดความพร้อม ?

แม้จะมีหลายเอกสารที่ประชาชนต้องยื่นหากต้องการขอใบอนุญาตครอบครองปืน (แบบ ป.4) หรือใบอนุญาตพกพาปืน (แบบ ป.12) แต่ทั้งสองกระบวนการปัจจุบันไม่มีการขอใบรับรองจากจิตแพทย์ เกี่ยวกับประวัติหรืออาการด้านสุขภาพจิต ซึ่งทำให้เราไม่รู้ว่าผู้ที่ครอบครองอาวุธปืนอย่างถูกกฎหมาย ณ ปัจจุบันมีสุขภาพจิตที่แพทย์เห็นว่าเหมาะสมที่จะครอบครองปืนหรือไม่

ในส่วนการเตรียมความพร้อม แม้จะมีการกำหนดว่าต้องแสดงหลักฐานว่าผ่านการฝึกอบรมการใช้อาวุธปืน แต่สังคมก็ตั้งคำถามถึงความรัดกุมของเนื้อหาการอบรมและความเข้มงวดของการรับรองมาตรฐานผู้ให้การอบรม รวมถึงการเสนอให้มีการสอบวัดความพร้อมของผู้ขอใบอนุญาตอย่างจริงจัง เหมือนในหลายประเทศทั่วโลก

2.ข้าราชการเข้าถึงได้ง่ายกว่า แม้ในตำแหน่งที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ปืนในการทำหน้าที่ ?

ที่ผ่านมา รัฐมีโครงการจัดหาปืนเป็นสวัสดิการให้ข้าราชการในหลายสังกัดเข้าถึงและขอใบอนุญาตได้อย่างสะดวกสบายขึ้น แม้หลายครั้งเป็นการให้สิทธิแก่ข้าราชการในตำแหน่งที่อาจตั้งคำถามได้ในปัจจุบันว่ามีความจำเป็นแค่ไหนที่ต้องใช้ปืนในการปฏิบัติหน้าที่ (เช่น ข้าราชการกระทรวงมหาดไทย กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารท้องถิ่น สมาชิกรัฐสภา) ซึ่งการเข้าถึงปืนได้อย่างแพร่หลาย อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อความรุนแรง หรือความเสี่ยงที่อาวุธปืนจะหลุดสู่ตลาดมืดได้

3.ระบบเส้นสายและการทุจริตคอร์รัปชั่นในการขอใบอนุญาต เปิดช่องโหว่ในการครอบครองปืน ?

เอกสารหนึ่งที่ข้าราชการต้องใช้เพื่อยื่นขอใบอนุญาตคือหนังสือรับรองความประพฤติจากผู้บังคับบัญชา นอกจากถูกตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของวิธีการดังกล่าวในการคัดกรองคน ข้อกำหนดดังกล่าวยังมีข้อครหาว่าเปิดช่องให้เกิดการเรียกสินบน หรือการเซ็นอนุมัติโดยไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของการประเมินความเหมาะสมของผู้ขอใบอนุญาตอย่างแท้จริง

4.อนุมัติครั้งเดียวครอบครองได้ตลอดชีวิต เพิ่มความเสี่ยงหากสถานการณ์เปลี่ยน ?

เมื่ออนุมัติแล้ว ใบอนุญาตครอบครองปืน (แบบ ป.4) เป็นใบอนุญาตที่ไม่มีวันหมดอายุ และไม่มีกำหนดการตรวจสอบ หรือประเมินความเหมาะสมในการครอบครองเป็นระยะ ๆ ตรงนี้ทำให้หากคนหนึ่งถูกประเมินว่าอยู่ในสภาวะที่สมควรครอบครองอาวุธปืนได้อย่างปลอดภัย ณ วันที่ขอใบอนุญาต เขาจะสามารถครอบครองปืนไปได้ตลอดชีวิต แม้ในอนาคตอาจมีเหตุใดที่ทำให้เขาไม่อยู่ในจุดที่สมควรได้รับอนุญาตอีกต่อไป หรือมีเหตุใดที่ทำให้ใครอยากร้องให้มีการเพิกถอนใบอนุญาต ก็ไม่สามารถริบอาวุธปืนจากคน ๆ นั้นได้

5.ตำรวจซื้อปืนในนามบุคคลได้ง่ายด้วยตำแหน่งที่มี เลยไม่ต้องคืนอาวุธแม้ถูกปลด ?

ปืนที่ตำรวจหลายคนมีในครอบครอง (รวมถึงของอดีตตำรวจที่ก่อเหตุในหนองบัวลำภู) ไม่ได้เป็นปืนของรัฐที่ตำรวจเบิกไปใช้ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ แต่เป็นปืนที่ตำรวจซื้อในนามส่วนตัว ซึ่งมีส่วนมาจากการที่อาวุธปืนของตำรวจซึ่งควรจะเป็นอุปกรณ์ที่รัฐบาลจัดหาให้ มีไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติงาน ตำรวจชั้นผู้น้อยจึงต้องเจียดรายได้มาซื้ออาวุธปืนของตัวเอง

ปฏิเสธไม่ได้ว่าพอซื้อในระหว่างที่เป็นตำรวจ จึงทำให้พวกเขาขอใบอนุญาตได้ง่ายขึ้น (และบางครั้งได้รับสวัสดิการตำรวจที่ทำให้ซื้อปืนในราคาที่ถูกกว่าประชาชนทั่วไป) แต่พอถูกปลดจากตำแหน่ง หรือพ้นหน้าที่ องค์กรไม่สามารถเรียกคืนปืนดังกล่าวจากพวกเขาได้ แม้เขาจะไม่ได้เป็นตำรวจแล้ว เพราะนับว่าเป็นปืนส่วนตัว (เช่นในกรณีของอดีตตำรวจที่ก่อเหตุในหนองบัวลำภู)

6.ปืนในระบบควบคุมได้ไม่รัดกุมแล้ว ปืนนอกระบบยิ่งควบคุมไม่ได้หนักกว่า ?

แม้จำนวนปืนในระบบที่ขึ้นทะเบียนถูกกฎหมายในประเทศจะอยู่ที่ประมาณ 7 ล้านกระบอก แต่มีการคาดการณ์ว่าปืนนอกระบบที่ไม่ถูกกฎหมายยังมีอีกประมาณ 6 ล้านกระบอก จนทำให้สัดส่วนประชากรที่ครอบครองปืนในไทยอาจสูงถึง 10-20% (หากเราคำนวณบนสมมุติฐานว่า คนที่มีปืนจะมีคนละ 1-2 กระบอก)-ด้วยปืนนอกระบบที่สูงถึงเกือบ 50% ของปืนทั้งหมดในประเทศ การเพิ่มความรัดกุมของเกณฑ์ในการขอใบอนุญาตครอบครองปืนในระบบ จึงไม่สามารถแก้ปัญหาได้ หากไม่มาควบคู่กับการกำจัดปืนนอกระบบด้วย (ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มักมีข้อครหาว่าถูกหล่อเลี้ยงโดยผู้มีอิทธิพลในหมู่ทหาร-ตำรวจบางกลุ่มเสียเอง)

7.“วัฒนธรรมปืน” ที่ทำให้การเข้าถึงปืน หรือการแก้ปัญหาด้วยปืนกลายเป็นเรื่องปกติ ?

การวัดระดับหรือประเมินผลกระทบจาก “วัฒนธรรมปืน” เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าประเทศไทยเป็นสังคมที่-ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่-ทำให้คนไทยหลายคนเติบโตมาพร้อมกับภาพของการใช้ปืน อย่างเช่นกิจกรรมในงานวันเด็ก ที่ให้เด็กสัมผัสและเล่นกับอาวุธปืนอย่างใกล้ชิด

แน่นอนว่าการแก้ปัญหา “การเข้าถึงอาวุธปืน” เพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพอต่อการป้องกันเหตุการณ์กราดยิงในอนาคต และแน่นอนว่า การหาทางออกในวันนี้สายเกินและไม่เพียงพอต่อการเติมเต็มช่องว่างในหัวใจของญาติผู้สูญเสียทุกคน

แต่สิ่งที่เราสามารถทำได้ในตอนนี้ เพื่อผู้สูญเสียทุกคนที่จากเราไปก่อนเวลาอันควร คือการไม่ยอมให้เหตุการณ์กราดยิงในครั้งนี้ เป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วผ่านไป แต่เป็นคำเตือนครั้งสุดท้ายที่ทำให้รัฐและเราหันมาร่วมกันหาแนวทาง เพื่อป้องกันไม่ให้โศกนาฏกรรมที่น่าหดหู่เช่นนี้เกิดขึ้นได้อีกในอนาคต