จากจิตรลดามือมีด คลั่งยิงโคราช มาถึง อดีตตำรวจสังหารหมู่ หนองบัวลำภู

วันที่ 7 ตุลาคม 2565 - 05:48 น.

ช่วงไม่ถึงสองทศวรรษมานี้ ประเทศไทยผ่านเหตุการณ์สุดสะเทือนขวัญจากผู้ก่อเหตุรายเดียวที่ไล่ทำร้ายและสังหารหมู่ มาแล้วอย่างน้อย 3 ครั้ง ทั้งยังเป็นความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

วันที่ 7 ตุลาคม 2565 หนึ่งวันหลังจากเหตุการณ์อดีตตำรวจ ก่อเหตุสังหารหมู่เด็กเล็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กตำบลอุทัยสวรรค์ จังหวัดหนองบัวลำภู ด้วยมีดถึง 24 ราย พร้อมใช้ปืนคลั่งยิงคน ก่อนปลิดชีพตนเองพร้อมลูกเมียรวม 38 ศพ วันที่ 6 ต.ค. 2565 ข่าวเหตุการณ์นี้ยังคงเป็นข่าวใหญ่ระดับโลกอย่างต่อเนื่อง

ทั้งสื่อไทยและสื่อเทศต่างรายงานประกอบเหตุการณ์นี้ ด้วยการย้อนเหตุการณ์สังหารหมู่ครั้งใหญ่ที่เกิดจากการลงมือของบุคคลคนเดียว มีทั้งบุคคลที่ก่อการร้าย บุคคลที่ป่วยทางจิต และบุคคลที่มีความเกลียดชังสังคม

จากรายงานของ รอยเตอร์ส เหตุสังหารหมู่ร่วมสมัยที่เด็กและเยาวชนตกเป็นเหยื่อครั้งเลวร้ายที่สุด โดยฝีมือคนคนเดียว คือเหตุที่นายแอนเดอร์ส เบรวิก ผู้คลั่งลัทธิขวาจัด สังหารหมู่ 69 ศพ เมื่อปี 2554 ที่ประเทศนอร์เวย์ เหยื่อส่วนใหญ่เป็นเด็กวัยรุ่นที่เข้าค่ายฤดูร้อน

ตามมาด้วยเหตุคลั่งยิงกราด 20 ศพ ที่โรงเรียนประถมฯ แซนดี ฮุก เมืองนิวทาวน์ รัฐคอนเนกติกัต สหรัฐ ปี 2555 เหตุสังหารหมู่ 16 ศพ ที่ดันเบลน สกอตแลนด์ ปี 2539 และเหตุสังหารหมู่ 19 ศพ ที่อูวัลเด รัฐเทกซัส สหรัฐ ในปีนี้

สำหรับเหตุการณ์ในไทย ช่วงไม่ถึง 20 ปีมานี้ มีคดีสะเทือนขวัญลักษณะดังกล่าวมาแล้วอย่างน้อย 3 ครั้ง ได้แก่ เหตุคลั่งแทงที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟ เหตุคลั่งยิงโคราช และเหตุสังหารหมู่ที่ศูนย์เด็กเล็ก หนองบัวลำภู ครั้งล่าสุด

จิตรลดาคลั่งแทงในโรงเรียน

เหตุการณ์ทำร้ายเด็กไม่เลือกหน้าที่เป็นข่าวใหญ่ครั้งแรก เกิดเมื่อปี 2548 โดยผู้ก่อเหตุหญิงชื่อ “จิตรลดา” แม้ไม่มีผู้เสียชีวิตในครั้งนั้น แต่ช็อกสังคมอย่างมาก เพราะไม่เคยมีเหตุสยองขวัญลักษณะนี้มาก่อน

วันที่ 9 กันยายน 2548 จิตรลดาบุกเข้าไปในโรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์ แขวงสีลม เขตบางรัก กทม. ขึ้นไปบนอาคารเรียนชั้น 3 ตึกเซนต์ปอล แล้วใช้มีดไล่แทงนักเรียน บาดเจ็บ 4 คน ในจำนวนนี้สาหัส 3 คน มีหนึ่งคนเป็นนักเรียนชั้น ป.6 อายุ 12 ปี และอีก 3 คนเป็นนักเรียนชั้น ม.2 อายุ 14 ปี

การสอบสวนพบว่าจิตรลดาเป็นผู้ป่วยทางจิต จึงถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาบำบัดที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ ขณะที่ศาลพิพากษาเมื่อปี 2551 ให้จำคุกจิตรลดา 4 ปี แล้วส่งตัวรักษา จนกว่าจะอยู่ร่วมในสังคมได้โดยไม่เป็นอันตรายต่อสังคม

เดือนมีนาคม 2563 จิตรลดาในวัย 51 ปี ได้ออกมาใช้ชีวิตในสังคมอีกครั้ง แต่เวลาผ่านไปเพียงสัปดาห์เดียว เหตุสยองขวัญเกิดซ้ำอีก ช่วงเย็นวันที่ 29 มี.ค. 2563 จิตรลดาใช้มีดแทง ด.ญ.วัย 4 ขวบเสียชีวิต ในพื้นที่ ต.วัดแค อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม

กระบวนการรักษาบำบัดผู้มีอาการทางจิตในคดีอาชญากรรมร้ายแรงต้องถูกทบทวนในทันที

คลั่งยิงโคราช-ข้อครหากองทัพ

เหตุคลั่งยิงโคราชถูกอ้างถึงทันทีที่มีเหตุสังหารหมู่ที่หนองบัวลำภู เพราะช่วงเกิดเหตุห่างกันเพียง 2 ปีและยังอยู่ในยุครัฐบาลชุดเดิม

ผู้ก่อเหตุลงมือทำโดยลำพังเหมือนกัน อีกทั้งมีความเชี่ยวชาญในการใช้อาวุธปืนคล้ายกัน ต่างที่ว่าคนหนึ่งเป็นทหาร และอีกคนเป็นตำรวจ

เหตุคลั่งยิงโคราช เป็นเหตุสังหารหมู่สุดสะเทือนขวัญ วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 ที่จังหวัดนครราชสีมา มีผู้เสียชีวิต 31 ราย (ไม่รวมผู้ก่อเหตุ) อายุระหว่าง 9-62 ปี บาดเจ็บ 58 คน

จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา อายุ 34 ปี ผู้ก่อเหตุใช้ปืนยิงผู้บังคับบัญชาและญาติถึงแก่ความตาย แล้วหลบหนีเข้ามาในตัวเมือง กราดยิงผู้คนตามรายทาง ก่อนเข้าไปซ่อนตัวหลบอยู่ในห้างเทอร์มินอล 21 โคราช จับบุคคลในห้างเป็นตัวประกัน

ระหว่างนั้นถ่ายทอดสดตนเองขณะก่อเหตุลงเฟซบุ๊กส่วนตัวเขย่าขวัญผู้คนไปทั่ว ก่อนที่เฟซบุ๊กจะรีบปิดบัญชีการใช้งาน เหตุการณ์ลงเอยเมื่อ จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา ถูกเจ้าหน้าที่วิสามัญฆาตกรรมในเช้าวันถัดมา

ผลการสอบสวนทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ระบบชั้นผู้ใหญ่-ชั้นผู้น้อยในกองทัพ เมื่อสันนิษฐานว่า จ.ส.อ.จักรพันธ์ลงมือด้วยความเคียดแค้นผู้บังคับบัญชาจากความขัดแย้งเรื่องเงินซื้อบ้านในที่ดินจัดสรรสำหรับข้าราชการทหาร ซึ่งรู้สึกว่าถูกเอาเปรียบ ถูกโกง และไม่มีทางได้รับความเป็นธรรมเพราะมีสถานะและตำแหน่งที่ต่ำต้อยกว่า

อีกทั้งยังมีคำถามถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยคลังอาวุธของกองทัพ และการเรียกร้องให้ตรวจสอบโครงการสวัสดิการทหารและธุรกิจในค่ายทหาร

ตำรวจ-ยาบ้า-ฆ่าหมู่หนองบัวลำภู

วันที่ 6 ตุลาคม 2565 ระหว่างที่กลุ่มนิสิตนักศึกษาและกลุ่มประชาชนจัดงานรำลึกเหตุการณ์สังหารหมู่และความรุนแรงทางการเมือง 6 ตุลา 19 ในกรุงเทพฯ กลับเกิดข่าวใหญ่สะเทือนขวัญจากจังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งกลายเป็นข่าวใหญ่ในสื่อต่างประเทศทั่วโลก

ผู้ก่อเหตุชื่อ ส.ต.อ.ปัญญา คำราบ อายุ 32 ปี เป็นอดีตตำรวจ สภ.นาวัง จ.หนองบัวลำภู ถูกไล่ออกจากราชการ

ข่าวช็อกเริ่มปรากฏตั้งแต่ช่วงเวลาเที่ยงครึ่ง เมื่อร้อยเวร สภ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู รับแจ้งเหตุคนร้าย เข้าไปก่อเหตุฆ่าคนจำนวนมาก ทั้งครูพี่เลี้ยงและเด็ก ที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กอุทัยสวรรค์ บ้านห้วยนาหลวง ต.อุทัยสวรรค์ อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู แล้วคนร้ายขับรถยนต์หนีไป

ร้อยเวรจึงรีบรายงานผู้บังคับบัญชาและจัดชุดไล่ล่า ชุดออกตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมกู้ภัยร่วมใจนากลาง ที่ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กอุทัยสรรค์ ตั้งอยู่ด้านหลังที่ทำการ อบต.อุทัยสวรรค์

เจ้าหน้าที่พบเด็กเล็ก 2 รายก่อน ทั้งสองยังมีชีพจรจึงรีบนำส่งโรงพยาบาลนากลาง แต่เสียชีวิตในเวลาต่อมาเนื่องจากถูกฟันที่ศีรษะเป็นแผลฉกรรจ์

ที่ประตูศูนย์ พบศพผู้ใหญ่ 1 รายสภาพมีบาดแผล ถูกยิงและถูกฟัน

ส่วนภายในห้องพบศพเด็กเล็ก อายุ 3-5 ขวบ อีก 21 ราย มีบาดแผลที่ศีรษะ ศพละ 1-2 แผล และพบศพผู้หญิง 2 รายที่นอนอยู่ในห้องกับเด็กมีบาดแผลถูกยิงและถูกฟัน ทราบต่อมาว่าเป็นครูพี่เลี้ยง หนึ่งรายท้องแก่ 8 เดือน

ด้านนอกศูนย์ห่างไป 50 เมตร พบศพชาย 1 คน และเด็กชายวัยประมาณ 5 ขวบ มีบาดแผลถูกยิงเสียชีวิต

สอบสวนเบื้องต้น ครูพี่เลี้ยงเด็ก 3 คนที่รอดชีวิต คือนางสาวจรัสศรี เพชรนอก นางสาวสุภาภรณ์ ตาวงษ์ นางสาวนันทิชา พันธุ์ชุ่ม

นางสาวสุภาภรณ์เล่าว่าได้ยินเสียงดังคล้ายประทัด 2-3 นัด จึงเดินออกมานอกอาคาร พบผู้ก่อเหตุกำลังบรรจุกระสุนปืน ด้วยความตกใจทำอะไรไม่ถูก จึงยกมือไหว้ขอชีวิตแล้ววิ่งอ้อมอาคารศูนย์ไปด้านหลัง ตะโกนบอก นางสาวจรัสศรี และนางสาวนันทิชาให้วิ่งหนี

จากนั้นทั้งสามจึงพากันกระโดดข้ามรั้วออกไป ขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ขณะนั้นได้ยินเสียงปืนดังภายในศูนย์ 3-4 นัด ส่วนผู้ก่อเหตุขับรถกระบะ 4 ประตู สีขาว ทะเบียน 6 กธ 6499 หลบหนีไป

เมื่อเร่งตรวจสอบเด็ก พบว่ามีเด็กเดินทางมาที่ศูนย์ 25 คน รอดตายหวุดหวิด 1 คน เป็นเด็กหญิง อายุราว 3 ขวบ ญาติมารับกลับโดยเล่าว่าเด็กนอนหลับสนิท ไม่รู้ว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น คาดว่าผู้ก่อเหตุอาจจะมองพลาดสายตาไปจึงไม่ถูกทำร้าย ขณะที่อีก 24 คนเสียชีวิต รวมกับผู้ใหญ่ 3 คน

ต่อมาชุดไล่ล่าต่างก็ติดตามไปทุกจุดตามที่มีเบาะแสผู้พบเห็น ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียด กระทั่งเวลาประมาณ 14.30 น. มีเสียงตะโกนเข้ามาว่าผู้ก่อเหตุกำลังวิ่งกลับเข้ามาในบริเวณศูนย์พัฒนาเด็ก สร้างความหวาดกลัวให้ประชาชนเจ้าหน้าที่และบรรดาญาติต่างก็พากันแตกตื่นโกลาหลหาที่หลบภัยกันจ้าละหวั่น

จากนั้นไม่นานมีข่าวแจ้งว่าพบศพผู้ก่อเหตุเสียชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายพร้อมภรรยาและบุตรชายวัย 3 ขวบในบ้านมารดาที่บ้านท่าอุทัย ตำบลอุทัยสวรรค์ ห่างศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่มาก่อเหตุประมาณ 3 กิโลเมตร

เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเพิ่มเติม พบว่า ระหว่างทางที่ผู้ก่อเหตุขับรถกระบะหลบหนีได้ใช้รถชนผู้สัญจรไปตามทางและยิงซ้ำเสียชีวิตอีก 9 ราย บาดเจ็บอีก 12 คน

ตำรวจพร้อมถอดบทเรียน

ต่อมาเวลา 16.00. น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พล.ต.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. ได้เดินทางมายังที่เกิดเหตุ ตรวจสอบแล้วจึงไปประชุมต่อ ที่ห้องประชุม อบต.อุทัยสวรรค์

เวลา 18.00 น. ผบ.ตร.แถลงข่าว ร่วมกับนายสุวิทย์ จันทร์หวร รองผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภู รักษาการผู้ว่าราชการ นพ.สสจ.หนองบัวลำภู อัยการจังหวัด พัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์จังหวัด อัยการคุ้มครองสิทธิ

สรุปผู้เสียชีวิตทั้งหมด 38 คน บาดเจ็บ 10 คน ส่วนผู้ก่อเหตุคือ ส.ต.อ.ปัญญา คำราบ เป็นอดีตตำรวจ สภ.นาวัง จังหวัดหนองบัวลำภู ถูกไล่ออกจากราชการเมื่อเดือนมกราคมปีนี้ ด้วยสาเหตุมีพฤติกรรมเกี่ยวกับยาเสพติด (ยาบ้า) อาวุธที่ใช้ก่อเหตุเป็นมีด และอาวุธปืน 9 มม. ที่ถูกต้อง โดยใช้เงินส่วนตัวซื้อ

ทราบเบื้องต้นว่า ว่าเช้าวันที่ 6 ต.ค. ส.ต.อ.ปัญญา เพิ่งกลับจากศาลเรื่องที่โดนคดี มีความเครียด ไม่พูดจากับใคร เพื่อนบ้านรายหนึ่งเผยว่า เห็นผู้ก่อเหตุทะเลาะกับภรรยาเนื่องจากโกรธที่ภรรยาไม่พาไปศาล และวันที่ 7 ต.ค. 2565 ศาลกำหนดนัดอ่านคำตัดสิน

การสอบสวนขณะนี้ ตำรวจยังไม่ตัดประเด็นใดทิ้ง ทั้งความเครียดส่วนตัว และการหลอนจากยาเสพติด ซึ่งได้สั่งให้ตรวจพิสูจน์เลือดแล้ว รวมทั้งประเด็นอื่น ๆ ด้วย ขอเวลาตำรวจทำงาน ตรวจพิสูจน์ตามขั้นตอนและหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่จะนำเหตุการณ์ไปถอดบทเรียนทั้งยุทธวิธีในการทำงาน หน่วยงานระดับสถานีที่จะต้องมีชุดปฏิบัติการคอยระงับเหตุเบื้องต้น ก่อนที่จะมีชุดปฏิบัติการพิเศษมาเสริม รวมทั้งการแก้ไขปัญหาผู้เสพยาจนคุ้มคลั่ง จิตวิกลจริตต่าง ๆ จะทำให้เกิดรูปธรรม

ด้านรองผู้ว่าฯ สุวิทย์ กล่าวว่า ทางจังหวัดจัดตั้งศูนย์ประสานงานช่วยเหลือ กับครอบครัวผู้สูญเสีย ที่จะได้รับเงินช่วยเหลือ รายละ 110,000 บาท และทางด้านอัยการคุ้มครองสิทธิ จะช่วยเหลือในเรื่องของกฎหมายให้กับประชาชน ถึงที่สุด

จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน แพทย์ กู้ภัยหลายหน่วยงาน ช่วยกันนำร่างผู้เสียชีวิตบรรจุโลง พร้อมเขียนชื่อของผู้เสียชีวิตกำกับไว้ และนำขึ้นรถบรรทุกขนาดใหญ่ เพื่อนำร่างไปพิสูจน์ที่โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี ก่อนจะนำกลับมาให้พ่อ แม่ ญาติ พี่น้อง นำไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป