พรรคเพื่อไทยเร่งเปิดตัว “เศรษฐา” พฤศจิกายน เป็นแคนดิเดตนายกฯ

แพทองธาร ชินวัตร เศรษฐา ทวีสิน

แกนนำพรรคเพื่อไทยวางแผนเปิดตัว เศรษฐา ทวีสิน เดือนพฤศจิกายน แนะนำให้ประชาชน ฐานเสียงรู้จัก

วันที่ 14 ตุลาคม 2565 รายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทยแจ้งว่า ภายหลังที่มีกระแสข่าวว่านายเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) จะมาเป็น 1 ใน 3 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคเพื่อไทย โดยให้เหตุผลว่า นายเศรษฐาเป็นผู้มีความเหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรี ในห้วงที่ต้องมีการฟื้นฟูประเทศจากปัญหาโควิดและวิกฤตเศรษฐกิจ มีความรู้ทางเศรษฐศาสตร์

นอกจากนี้ ยังผ่านประสบการณ์และความสำเร็จจากการบริหารธุรกิจขนาดใหญ่ และมีแนวคิดในเชิงสังคม เข้าใจปัญหาสังคมไทย จึงได้มีการประสานหารือมาระดับหนึ่ง

ล่าสุดทีมงานของพรรคเพื่อไทย ที่ดูแลเรื่องคิวงานและการประชาสัมพันธ์ของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม ได้เข้าไปทำหน้าที่ประสานงานระหว่างนายเศรษฐา กับสื่อมวลชนประจำพรรคเพื่อไทยด้วยอีกทางหนึ่ง ในฐานะว่าที่แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย

นอกจากนี้ แกนนำพรรคเพื่อไทยรายหนึ่งเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2565 เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะเปิดตัวนายเศรษฐา ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค หลังจากมีการประเมินว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม อาจมีการประกาศยุบสภาในช่วงจังหวะนี้ ซึ่งเป็นช่วง 90 วันก่อนสภาผู้แทนฯหมดวาระ จึงต้องเร่งเปิดตัวเพื่อให้ชาวบ้าน มวลชน และฐานเสียงของพรรค ได้รู้จักนายเศรษฐามากขึ้น

“อาจต้องเปิดตัวเร็ว เป็นไปได้ว่าในเดือนพฤศจิกายนนี้ เพราะคุณเศรษฐา แม้เป็นที่รู้จักของคนใน กทม. และคนชั้นกลาง แต่เวลาไปแนะนำที่ต่างจังหวัดอาจจะยังมีปัญหา เดินไปแนะนำชาวบ้านต่างจังหวัด ชาวบ้านไม่รู้จัก จึงต้องสร้างกระแส แต่ทั้งนี้ กำหนดการอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม แต่การเปิดตัวก็ไม่ควรช้าเกินไป เพราะจะมีผลต่อการสร้างกระแสให้เป็นที่รู้จัก” แหล่งข่าวในพรรคเพื่อไทยระบุ

ก่อนหน้านี้ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2565 ว่า ขณะนี้พรรคอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค และเวลาที่เหมาะสม เพราะใกล้เลือกตั้งแล้ว ดังนั้น ก่อนที่จะมีการประกาศพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้ง หรือช้าที่สุดหลังจากมีพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้งก็ต้องประกาศชื่อแคนดิเดตนายฯ เพราะเรื่องนี้เป็น 1 ใน 3 ของพรรคเพื่อไทยที่จะเสนอต่อประชาชน

ส่วนชื่อของนายเศรษฐา ถามว่าเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคหรือยังนั้น ต้องตอบว่ายัง เบื้องต้นต้องขอบคุณสื่อมวลชนและประชาชนที่ให้ความสนใจ ถ้ามองในมุมบวกหมายความว่าพรรคเรามีโอกาสที่คนมีความรู้ความสามารถให้ความสนใจที่จะเข้ามาเป็นแคนดิเดตนายกฯ ส่วนขั้นตอนการสรรหา การทาบทามยังไม่มีการพิจารณาแต่อย่างใด แต่ต้องขอบคุณที่กระแสสังคมทาบทามให้พรรคเพื่อไทย

ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าได้ทั้งนายเศรษฐาและ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร มาเป็นแคนดิเดตนายกฯ จะทำให้พรรคเพื่อไทยมีแต้มต่อทางการเมืองเพิ่มมากขึ้นหรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่าก็ต้องดูเสียงตอบรับประชาชน ถ้าทั้งสองท่านมีคะแนนนิยม โดยเฉพาะ น.ส.แพทองธารที่คะแนนนิยมในสำนักโพลต่าง ๆ ก็ขึ้นมาเรื่อย ๆ จะเป็นภาพบวกของพรรคเพื่อไทย ส่วนจะเป็น 1 ใน 3 แคนดิเดตนายกฯหรือไม่ ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการ

เมื่อถามว่า นายเศรษฐาเหมาะสมที่จะเป็นแคนดิเดตนายกฯพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า ถามว่าเหมาะสมหรือไม่ ตนอาจไปกำหนดคุณสมบัติไม่ได้ แต่ฟังเสียงจากคนที่เกี่ยวข้อง ภาคธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญ และดูความสามารถของนายเศรษฐา รวมถึงความตั้งใจต่าง ๆ เท่าที่ฟังจากเสียงประชาชนแล้ว เขาเป็นที่ยอมรับ พรรคเพื่อไทยก็ต้องนำมาพิจารณา

เมื่อถามว่านายเศรษฐาตรงกับสเป๊กแคนดิเดตนายกฯ ที่พรรคเพื่อไทยตั้งไว้หรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า ขณะนี้ที่เรามุ่งมั่นคือต้องแก้วิกฤตเศรษฐกิจให้ได้ เป็นปัญหาแรกสุด ถ้าเราได้ผู้นำที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ วัตถุประสงค์ที่เราจะแก้วิกฤตเศรษฐกิจมันน่าจะขับเคลื่อนได้ดี ตอบโจทย์ได้ดี

ด้านนายสุทิน คลังแสง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวในเรื่องเดียวกันว่า ทั้งนายเศรษฐาและ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ทั้งคู่ถือว่ามีคุณสมบัติเหมาะสม มีจุดแข็งทั้งคู่ อย่างนายเศรษฐาเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จ มีความรู้ ความเข้าใจด้านเศรษฐกิจ

ขณะที่ น.ส.แพทองธารเป็นคนรุ่นใหม่ ที่สำคัญมีฐานคะแนนนิยมสูงมากขณะนี้ คู่นี้ใครก็ได้เป็นนายกฯ ได้หมด เชื่อว่าจะสร้างโอกาสให้พรรคเพื่อไทยแลนด์สไลด์ ให้เราชนะเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาลที่แข็งแรงแน่ ๆ และหาก น.ส.แพทองธารได้เป็นนายกฯ แม้อายุไม่มากแต่จะได้ ครม.ที่ล้อมรอบไปด้วยผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์ แตกต่างจาก 8 ปีที่ผ่านมาสิ้นเชิง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้เศรษฐายังได้รับเลือกให้รับรางวัล “คนเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่อสังคม” ในงานครบรอบ 2 ปีกลุ่ม CARE เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2565

ทั้งนี้ นายเศรษฐากล่าวภายหลังได้รับรางวัลว่า ช่วงที่ผ่านมาประเทศบอบช้ำทางด้านเศรษฐกิจ ซึ่งที่ผ่านมาหลายภาคส่วนก็ช่วยกันแบบปิดทองหลังพระก็เยอะ ไปพร้อมกับต้องคำนึงเรื่องความสมดุลภายในองค์กร แต่หน้าที่และภาระที่มีต่อสังคมเป็นสิ่งที่สังคมต้องการ แต่หลายภาคส่วนอาจยังไม่ตระหนักถึงเรื่องนี้เท่าที่ควร

ตนไม่ค่อยเห็นนักธุรกิจแนวหน้าของประเทศแสดงความเห็นเรื่องสังคม การเมืองเท่าที่ควร ไม่เหมือนกับเบื้องหลังพอเวลากินข้าวสังสรรค์มักพูดถึง วิจารณ์นโยบายภาครัฐเยอะมาก แต่ที่ไม่พูดส่วนใหญ่มองว่า “อยู่เฉย ๆ ดีกว่า พูดไปก็ไม่มีประโยชน์”

ซึ่งตนคิดว่านักธุรกิจที่มีต้นทุนทางสังคมสูง ที่หลายภาคส่วนซึ่งบริหารจัดการประเทศอยู่เกรงใจไม่ออกมาพูดเลย ตนถือว่าไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ที่ควรต้องทำ และการที่อ้างว่าหากพูดไปเดี๋ยวธุรกิจเดือดร้อน ตนขอพูดตรงไปมาว่า

“ถ้าเป็นธุรกิจสัมปทานก็พอเข้าใจได้ แต่ถ้าเป็นธุรกิจไม่ถือสัมปทานกับรัฐ ตนถือว่ามันเป็นหน้าที่ ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ผู้นำองค์กรต้องพูด เสนอแนะ วิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ ตามกฎหมายที่ไม่ก้าวร้าว” ทั้งนี้ ตนอยากให้เพื่อนนักธุรกิจเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ ช่วยกันแสดงความคิดเห็น เพื่อเคลื่อนไหวสังคมไปในทางที่ดีขึ้น เสียงของพวกท่าน (นักธุรกิจ) เป็นเสียงที่สำคัญในการผลักสังคมให้เคลื่อนไปข้างหน้าได้”