ฉากการเมืองใหม่หลังเอเปค ทุกพรรค “เปิดหน้า” วางเครือข่ายรับเลือกตั้ง

ประยุทธ์
คอลัมน์ : รายงานพิเศษ

หลังการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำ 21 เขตเศรษฐกิจเอเปค วันที่ 18 พฤศจิกายน 2565 จะเริ่มเข้าสู่โหมดการเมืองเข้มข้น

อนาคตทางการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เหลืออยู่อีก 2 ปี จะ “ไปต่อ” หรือ “วางมือ”

การไปต่อของ พล.อ.ประยุทธ์ มี “เงื่อนไขเดียว” คือ การเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน ในปี’68

ข่าวปั่น-ข่าวปล่อยเป็นขบวนการ จาก “ไพศาล พืชมงคล” อดีตกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ได้โพสต์เฟซบุ๊กว่า วันที่ 21 พฤศจิกายน 2565 จะมีบุคคลระดับ VIP มาสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ-แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี

“ด่วน 21 พฤศจิกายน 2565 หลังเอเปค เขาว่าเป็นวันฤกษ์ดี จะมี VIP สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ และจะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีด้วย !!!” เฟซบุ๊ก Paisal Puechmongkol ระบุ

แสงสปอตไลต์ฉายจับพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มี “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” เป็นหัวหน้าพรรค

และยิ่งจับตามองเข้าไปอีก เมื่อ “ไตรรงค์ สุวรรณคีรี” นักการเมืองรุ่นเก๋า ที่ปิดตำนาน 38 ปี กับพรรคประชาธิปัตย์ แล้วจู่ ๆ ก็ได้รับแต่งตั้งจาก “พล.อ.ประยุทธ์” ให้เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี

ไตรรงค์ระบุว่า ตำแหน่งนี้ไม่มีเงินเดือน และเป็นเจตนารมณ์ที่จะไม่รับเงินเดือน ที่ได้เคยกราบเรียนให้นายกฯได้ทราบล่วงหน้าแล้ว

“แม้ผมจะออกมาช่วยเหลือพรรคใหม่ ๆ ใด ๆ ก็จะเป็นเพียงคอยให้คำปรึกษาชี้แนะแนวทางที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ แต่จะไม่ขอแลกกับตำแหน่งทางการเมืองใด ๆ ที่ต้องกินเงินเดือนอันเป็นเงินจากภาษีอากรของประชาชนอีกต่อไป”

ผสมโรงกับ 2 ป. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.ประยุทธ์ เล่นบท “ตามน้ำ” เพื่อสกัดเลือดไหลออกจากพรรคพลังประชารัฐ

เพราะมีนักการเมืองรุ่นลายคราม-เก๋าเกม กับ ส.ส.หน้าใหม่กลุ่มใหญ่ พยากรณ์กราฟชีวิตของ พล.อ.ประยุทธ์ ว่า “กระแสลุงตู่” ขายไม่ได้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า

มิหนำซ้ำยังต้องเป็นภาระให้ต้องมาแบกแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่มีอายุการใช้งานได้อีกเพียง 2 ปี ระหว่างเปลี่ยนกัปตันเรือพรรคพลังประชารัฐอาจดวงแตกตกที่นั่งฝ่ายค้าน

จึงต้องแบโผบัญชีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีก่อนกาล โดยเสียบชื่อ พล.อ.ประวิตร เป็น “นายกฯคนละครึ่ง”

ตามด้วยการปล่อยชื่อ “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ที่นั่งปั้นผลงานพลังประชารัฐ-หัวหน้าพรรคอยู่หลังม่านข้อมูลข่าวสารในสื่อโซเชียลมีเดีย เป็นแคนดิเดตนายกฯเบอร์ 3

ปะทะเป็น “แรงบวก” กับ “อริเก่า” ที่อยู่ระหว่างเดินทางไกล ตั้งตารอแสงเหนือพาดผ่านกลางทะเลทราย เปิดทาง “คืนสู่เหย้า”

สมมุติฐานทางการเมืองจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับ พล.อ.ประยุทธ์ แต่เพียงผู้เดียว ว่าจะโดยสาร “เรือลำเดิม” อย่างพรรคพลังประชารัฐ หรือกระโดดลง “เรือลำใหม่” ที่ชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ

ก้าวลงเรือลำผิดอาจไปไม่ถึงฝั่งฝัน

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยแทรกซ้อนที่เกี่ยวพันกับชะตาชีวิตนักการเมืองทุกหมู่เหล่า คือกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญเตรียมวินิจฉัย “กฎหมายลูก” 2 ฉบับสำคัญคือ ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง (ฉบับที่..) พ.ศ. .. เกี่ยวข้องกับการทำไพรมารี่โหวตในการหาตัวผู้สมัครลงเลือกตั้ง และร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่..) พ.ศ. .. อันเป็นกติกาคุมการเลือกตั้ง และการนับคะแนน ส.ส.บัญชีรายชื่อ ว่าจะใช้สูตรไหน

ซึ่งทั้งสองฉบับผูกโยงกับ “ยุทธศาสตร์” การวางตัวลงพื้นที่ของพรรคการเมือง ไม่ว่าฝ่ายรัฐบาล หรือฝ่ายค้าน ที่ยังไม่กำหนดจังหวะการเดินหมากเต็ม 100%

ประกอบกับการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประยุทธ์ 2/5 ที่ทิ้งช่วงมาตั้งแต่ตำแหน่งรัฐมนตรีว่างลง 2 ตำแหน่ง คือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน

ขณะนี้มีตำแหน่งรัฐมนตรีที่โบ๋อยู่-เก้าอี้ไม่สมประกอบ คือตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย หลังจาก “นิพนธ์ บุญญามณี” ลาออก เพื่อไปต่อสู้คดีไม่จ่ายค่ารถอเนกประสงค์สมัยดำรงตำแหน่งนายก อบจ.สงขลา

และ “กนกวรรณ วิลาวัลย์” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่โดนศาลฎีกาสั่ง “หยุดปฏิบัติหน้าที่” ในคดีรุกพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่

ขณะที่ตำแหน่งที่จับจองที่นั่งไว้แล้วคือ เก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย-โควตาของพรรคประชาธิปัตย์ ที่มี “นริศ ขำนุรักษ์” ส.ส.พัทลุง แต่งชุดขาวรอตั้งแต่ม่านเอเปคยังไม่เปิดฉาก

อีก 2 เก้าอี้ที่ต้องจับตา เพราะจะเป็นตัวแปรสำคัญของพรรคพลังประชารัฐและ พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อมาทดแทนโควตาพรรคพลังประชารัฐ ที่มีทั้ง ส.ส.ภาคใต้ และ ส.ส.ปากน้ำ จ้องตาเขม็ง

“ดร.สติธร ธนานิธิโชติ” ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า วิเคราะห์ว่า การปรับ ครม.ประยุทธ์ 2/5 เป้าหมายของ 3 ป.คือ การวางตัว-จับวาง “ทายาท” หรืออย่างน้อย ๆ คือเป็นบันไดไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งหน้า

“เราพูดวิธีการในมุมที่ว่า การสืบทอดอำนาจของกลุ่ม 3 ป.ผ่านการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่มีสืบต่ออำนาจอีกมุมหนึ่งคือ การสืบทอดทายาท จังหวะและโอกาสที่สำคัญคือ การปรับ ครม.”

“การปรับ ครม.รอบนี้ ระยะสั้นคือ การวางคนให้การเลือกตั้งครั้งหน้าเข้าทางรัฐบาล ระยะยาวคือ การเปิดตัวทายาทที่จะมารับไม้ต่อ เปิดพื้นที่ทางการเมืองให้ได้แสดงฝีมือ หากรอเปิดตัวทายาทในรัฐบาลหน้าอาจจะไม่ทัน หรือไม่มีโอกาส”

ไม่ว่า 24 ธันวาคม 2565 หรือ 7 กุมภาพันธ์ 2566 จะเข้าสู่ 90 วันก่อนสภาครบวาระ-รัฐบาลอยู่ครบเทอม ก่อนการเลือกตั้ง แต่การย้ายพรรคของ ส.ส.หนีตาย-ฝากเลี้ยงไว้ตามพรรคการเมืองต่าง ๆ จะเข้าสู่เส้น “เดดไลน์”

การลาออกครั้งใหญ่ของพรรคการเมืองจะเกิดขึ้นบิ๊กลอต-ล้มเป็นโดมิโน หาก พล.อ.ประยุทธ์ ตัดสินใจร่วมหอลงโรงกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ก๊ก-ก๊วนภายในพลังประชารัฐอาจ “จำใจไป” หาก “เฟกนิวส์” ถูกปั่นให้กลายเป็น “ข่าวจริง”

ทั้งก๊กชลบุรีของ “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น ส.ส.ชลบุรี ก๊วนสิงห์บุรี ของ “เสี่ยโอ๋” ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ และอาจรวมถึงกลุ่มสามมิตร “เสี่ยแฮงค์” อนุชา นาคาศัย ส.ส.ชัยนาท

ดีลการควบรวมพรรคที่ยังไม่สะเด็ดน้ำ ของพรรค 2 ส. พรรคสร้างอนาคตไทยของ ส.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประธานพรรค และพรรคไทยสร้างไทยของ ส.สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรค

ต้องยุติกลางคัน เพราะเกิดการหักเกมกันเองของนักการเมืองรุ่นใหญ่ในพรรคสร้างอนาคตไทย-เปลี่ยนทีมเจรจา และความไม่ลงตัวในลำดับการจัดวางแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี-ตำแหน่งหัวหน้าพรรค

ความชัดเจนของ พล.อ.ประยุทธ์ คืออนาคตของ พล.อ.ประวิตร-พล.ต.อ.จักรทิพย์ ความไม่คลุมเครือในการควบรวมของสร้างอนาคตไทยกับไทยสร้างไทย ก็คือแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีตัวจริง-เสียงจริงของพรรค 2 ส.