สร้างอนาคตไทย ยื้อเกมควบรวม วิเคราะห์เส้นทางดีลชาติพัฒนากล้า

3 ส.
คอลัมน์ : รายงานพิเศษ

พรรค 3 ส. สร้างอนาคตไทย ไทยสร้างไทย และพรรคสุวัจน์-ชาติพัฒนากล้า พัฒนาการรวมพรรค กลับไม่ได้-ไปไม่ถึง คนอยากรวมไม่ได้รวม คนไม่อยากรวมกลับถูก (เหมา) รวม

“สันติ กีระนันทน์” รองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย “คนถูกเหมารวม” น้ำหนักเสียงยังหนักแน่น เพราะพรรคสร้างอนาคตไทยไม่ได้อยู่ในสถานะ “ถ้าไม่รวมตายแน่นอน”

“ถ้าพรรค A ตั้งเป้าต้องรวมให้ได้ พรรค B ยังไงก็ได้ อาจจะเกิดการรวม โดยพรรค A เสียเปรียบทุกอย่าง พรรค B ขย่มอย่างเดียว หรืออาจจะไม่เกิดการรวมก็ได้ เพราะพรรค A ต้องการรวมให้ได้ ขณะที่พรรค B ไม่สนใจ เพราะมีงานอื่นให้ทำ”

“ทางเดียวที่จะทำให้เกิดการรวมคือ พรรค A ต้องการรวมแบบสุดขีด พรรค B ก็ต้องการรวมสุดขีด เพราะถ้าไม่รวม พรรค A ตาย หรือพรรค B ตาย การรวมจะเกิดขึ้น ถ้าไม่รวมตายแน่นอน”

“พรรคสร้างอนาคตไทยไม่ได้อยู่ในสภาวะนั้นแน่นอน”

เลิกพรรค-ข่าวร้าย ทำลายพรรค

“สันติ” มองว่า ข่าวอัพเดตความคืบหน้าการ “รวมพรรค” ของพรรค 3 ส. เลยเถิดถึงขั้น “เลิกพรรค” เป็น “ข่าวร้าย” ของพรรคสร้างอนาคตไทย

“ยอมรับว่าเคยคุยกับพรรคไทยสร้างไทย และพรรคชาติพัฒนากล้า แต่การจะดำเนินการอย่างไรต่อไป คงเร็วเกินไปที่จะพูดได้ โดยเฉพาะการให้ข่าวร้ายกับพรรคถึงขนาดเลิกพรรค”

เมื่อตำแหน่งหัวหน้าพรรค-แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคยังไม่บรรลุข้อตกลง ดีลรวมพรรคจึงยังไม่ลงตัว-ไม่สะเด็ดน้ำ

“เปรียบเทียบกับบริษัทเอกชนที่จะควบรวมกันได้ต้องทำข้อตกลงเงื่อนไขกัน กว่าจะควบรวมกันได้ต้องใช้เวลาเป็นปี โดยเฉพาะบริษัทที่ดำเนินการไปแล้วนาน ๆ”

รวมถึงขั้นตอนทางกฎหมายที่มีความยุ่งยาก-ซับซ้อน เพราะการ “เลิกพรรค” ต้องใช้มติกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) และนำไปจดทะเบียนเลิกพรรคที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)

“วันนี้ กก.บห.ยังนั่งทำงานอยู่ในพรรคเต็มไปหมด”

“สันติ” นำไปเปรียบเทียบกับการรวมพรรคของพรรคกล้ากับพรรคชาติพัฒนา รวมร่างเป็น “พรรคชาติพัฒนากล้า” เหตุ-ปัจจัยแตกต่างกับการรวมพรรค 3 ส.

“วันนั้นพรรคกล้ายังไม่มีผู้สมัคร ส.ส.ชัดเจน พรรคชาติพัฒนา ถึงแม้มี ส.ส.อยู่ในสภา แต่พื้นที่ยังไม่ครอบคลุมทั่วประเทศ จึงไม่ยุ่งยากที่จะรวมกัน แต่พรรคสร้างอนาคตไทยมีผู้สมัคร ส.ส.แล้วกว่า 100 คน จะไปรวมกับพรรคอื่นไม่ใช่เรื่องง่าย”

แต่เขาไม่กล้าฟันธงว่า ไกลเกินกว่าที่พรรคสร้างอนาคตไทยจะถอยหลัง “ไม่กล้าตอบว่าเป็นไปไม่ได้ แต่จะให้ตอบว่าเป็นไปได้เลยก็คงไม่กล้าตอบเช่นกัน”

เคมีตรงกัน-ทีม ศก.เบอร์ใหญ่

“สันติ” ชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการรวมพรรค หากวัดที่ “เคมีตรงกัน” คือการเป็น “พรรคเกิดใหม่” และเบื่อหน่ายกับความขัดแย้งทางการเมืองเก่า

ที่เป็น “จุดร่วมกัน” ของพรรคชาติพัฒนากล้ากับพรรคสร้างอนาคตไทยคือ ทีมเศรษฐกิจเบอร์ใหญ่ เช่น นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี-ประธานพรรค นายอุตตม สาวนายน อดีต รมว.คลัง-หัวหน้าพรรค

ขณะที่พรรคชาติพัฒนากล้าคือ นายกรณ์ จาติกวณิช อดีต รมว.คลัง-หัวหน้าพรรค และ “เบอร์ใหญ่” อย่างนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ อดีตรองนายกรัฐมนตรี-ประธานยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจพรรค

แต่เรื่องที่ 3 พรรครวมกันไม่ได้ มีอะไรบ้างนั้น เขาตอบไม่ตรงคำถาม แต่มีคำตอบอยู่ในตัวเองว่า “ถ้าไม่มีเรื่องที่รวมกันไม่ได้ คงรวมกันไปได้ตั้งแต่เดือนมกราคมแล้ว คงไม่จำเป็นต้องเกิดพรรคสร้างอนาคตไทย”

ผลทางการเมืองระยะยาว

กติกาเลือกตั้งบัตรสองใบ หาร 100 ที่ไม่เป็นคุณกับพรรคการเมืองเกิดใหม่ จะเป็นชนวนเหตุ-ตัวเร่งปฏิกิริยาให้เกิดการรวมพรรค แต่ไม่ใช่ภายในระยะเวลาอันสั้น

เขามองการก่อร่างสร้างพรรคสร้างอนาคตไทยเป็นการทำพรรคระยะกลาง-ระยะยาว ไม่ได้หวังผลทางการเมืองระยะสั้น ต้องได้ ส.ส.จำนวนมาก

คำถามคือ การก่อตั้งพรรคมา 1 ปี เราจะสามารถชนะการเลือกตั้ง-เป็น ส.ส.เข้าไปนั่งในสภาได้ 60-70 คนหรือไม่ ถ้าเราคิดว่าจะต้องเป็นเช่นนั้น การรวมพรรคคือคำตอบแรกที่ต้องทำให้ได้

“แต่ถ้าเราตั้งเป้าหมายว่า เราอยากจะทำพรรคการเมืองเพื่อให้เป็นทางเลือกคนที่เบื่อหน่ายกับการเมืองเก่า ๆ และความขัดแย้ง เรื่องตัวเลข ส.ส.มากหรือน้อยไม่ใช่คำตอบ การรวมพรรคก็ไม่ใช่ priority ไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำก่อนสิ่งอื่น”

ในฐานะที่เขาเป็นอดีตผู้ก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐ ได้เท้าความถึงรัฐธรรมนูญปี 2560

เขาไม่ปฏิเสธว่า การเลือกตั้งเมื่อปี’62 พรรคพลังประชารัฐขณะนั้นได้ประโยชน์ และมีส่วนต่อผิดพลาดที่เกิดขึ้น พรรคเพื่อไทยก็ได้รับผลพวงจากความบิดเบี้ยวนั้นและเสียประโยชน์ แต่บางพรรคก็ได้ประโยชน์ เช่น พรรคอนาคตใหม่

“ถามว่าผิดพลาดที่กติกาเลือกตั้งจริงหรือไม่ หรือผิดพลาดที่การนำกติกาไปใช้ แก้รัฐธรรมนูญแล้วไม่หมดจด ต้องแก้รัฐธรรมนูญใหม่ที่ไม่ใช่เอาความต้องการของนักการเมืองตั้งหลัก ต้องเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) มาเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ โดยไม่ไปแตะต้องหมวดพระมหากษัตริย์ และจะเป็นแคมเปญนโยบายที่จะนำไปกล่าวถึงอีกครั้ง”

เดินหน้าเลือกตั้ง-แค่เสียสมาธิ

เหตุผลที่ “สันติ” มองว่าการปล่อยข่าวถึง “เลิกพรรค” เป็นการ “ทำลายพรรค” เพราะว่า “เสียสมาธิ” ถึงขั้นวางมือในงานที่ทำอยู่ และต้องไล่ตอบข้อความบรรดากองเชียร์พรรคสร้างอนาคตไทยที่มาถามไถ่ความจริงจากปาก

“ตราบใดที่ยังเป็นเพียงกระแสข่าว หน้าที่เราคือ การชี้แจงความเป็นจริง อีกสักพักต้องกลับมาสู่ภาวะปกติ คือทุกคนมุ่งหน้าสู่การรณรงค์การเลือกตั้ง อาจจะทำให้สมาธิต้องวอกแวกไปบ้าง พอตั้งหลักได้ก็ต้องกลับมาทำงานหนักต่อไป”

พัฒนาการการรวมพรรค 3 ส. เขาตอบไม่ได้ว่า บรรทัดสุดท้ายจะ “รวม” หรือ “ล่ม” แต่ในฐานะประธานนโยบายเศรษฐกิจพรรคสร้างอนาคตไทยยังคงมุ่งหน้าเข้าสู่สนามเลือกตั้ง

“วันนี้งานหลักของทุกพรรคการเมือง ไม่ว่าจะพรรคเล็ก หรือพรรคใหญ่ คือการวางตัวผู้สมัครในพื้นที่ แคมเปญ และนโยบายนำเสนอประชาชนในการเลือกตั้งครั้งหน้า”

ท่ามกลางกระแสข่าวรวมพรรค-เลิกพรรค สันติยังคงทำงานเรื่องนโยบายเศรษฐกิจอยู่หลังบ้าน เพื่อเตรียมออกแคมเปญหาเสียง หลังเวลาแห่งความสุข-หยุดยาวช่วงเทศกาลปีใหม่-เตรียมสู่การเดินหน้าเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้