พลังประชารัฐ ดูดนักการเมืองทุกทิศ ระดมน้ำเลี้ยง ดันประวิตรและพวก ชิงนายกฯ

พปชร.
คอลัมน์ : รายงานพิเศษ

บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ รวบรวมไพร่พล-กระสุนดินดำ พร้อมรบ “ศึกนอก” สมรภูมิเลือกตั้งใหญ่อีกครั้ง หลังจากแตกฉานซ่านเซ็นจากการกรำ “ศึกใน”

เก้าอี้นายกรัฐมนตรี คนที่ 30 คือเรือธงของพรรคพลังประชารัฐ ที่ทุกองคาพยพพร้อมที่จะเคลื่อนทัพไปปักธงเป้าหมาย ส.ส. 150 ที่นั่ง ในสมรภูมิการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอีก 4 เดือนข้างหน้า

ระดมไพร่พลปักธงนายกฯ

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ กับพวกกลุ่มสี่กุมาร-นายอุตตม สาวนายน และ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ผู้ก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐ “รีเทิร์น” กลับมากินน้ำพริกถ้วยเก่า

เป็นกุญแจสำคัญอีกดอกที่จะสานฝัน พล.อ.ประวิตร นั่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30

“ท่านหัวหน้าพรรคพูดแล้ว วันนี้เป็นเรื่องของการก้าวข้ามความขัดแย้ง เรามาช่วยกันสร้างความปรองดอง ไม่มีอะไรติดใจ ตอนพวกผมเดินออกก็ไม่ได้มีความขัดแย้ง ความเห็นต่าง เข้าใจไม่ตรงกัน คลาดเคลื่อนกันบ้าง ธรรมดามาก เกิดขึ้นได้ในวงการเมือง แต่วันนี้ถ้าเราตั้งใจพร้อมกันแล้วว่า มาทำด้วยกันเถอะ ก้าวข้ามความขัดแย้ง ไม่ติดใจอะไรทั้งนั้น” นายอุตตมไม่ติดใจเรื่องบาดหมางในอดีต

“เรากลับเข้ามาพรรคพลังประชารัฐด้วยความเต็มใจ ตั้งใจ ที่ผ่านมาเราเจรจากับพรรคการเมืองต่าง ๆ ก็ด้วยอุดมการณ์ ว่าทำอย่างไรสถาบันการเมืองเข้มแข็ง แต่องค์ประกอบการเมืองขึ้นอยู่กับจังหวะและโอกาส เราโชคดี เหมือนคนเคยอยู่ด้วยกัน จึงร่วมงานกันด้วยความสบายใจ อยู่ร่วมกันได้” นายสนธิรัตน์เปิดใจการตกลงกลับบ้านเก่า

“อุตตม” จะกลับมารับบทบาท “มือเศรษฐกิจ” ส่วน “สนธิรัตน์” จะกลับมาทำหน้าที่ทางเศรษฐกิจและการเมือง ส่วนความสัมพันธ์ของ “สมคิด” กับนายอุตตม-นายสนธิรัตน์ และพรรคพลังประชารัฐเป็นเพียงผู้เคยร่วมก่อตั้งกันมา

“การก้าวกลับมาพรรคพลังประชารัฐ พวกผมก็ได้ปรึกษากับอาจารย์สมคิด ท่านก็ยินดี ท่านบอกว่า ตราบใดที่เป็นการมาช่วยกันแล้วทำให้ประเทศชาติเดินไปได้ ปรองดอง ลบความขัดแย้ง ท่านยินดีและสนับสนุน ความสัมพันธ์ก็ยังเหมือนเดิม เราขอคำปรึกษามาโดยตลอด” นายอุตตมเปิดเผยความสัมพันธ์กับผู้อยู่เบื้องหลังดีลกลับพรรคพลังประชารัฐ

เบื้องหน้าการเจรจากลับเข้าพรรคพลังประชารัฐ นายอุตตม-นายสนธิรัตน์เปิดเผยต่อสาธารณะ หลังเลือกตั้งไม่มีเงื่อนไขเก้าอี้รัฐมนตรี

แต่ก่อนเลือกตั้งคือการมาเสริมภาพลักษณ์ให้กับบัตรเลือกตั้งใบที่สอง-เพิ่มเสน่ห์การเป็นนักคิด-นักวิชาการที่เป็นมือเศรษฐกิจในบัญชีรายชื่อ ส.ส.ระบบปาร์ตี้ลิสต์

นอกจากทีมสมคิดแล้ว บิ๊กน้อย-พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา เป็นอีก 1 ศิษย์เก่าพรรคพลังประชารัฐ กลับมาช่วยบิ๊กป้อม เพื่อนรักเตรียมทหารรุ่น 6 (ตท.6) หลังจากพเนจรไปอยู่พรรคเศรษฐกิจไทยและพรรครวมแผ่นดิน

บิ๊กน้อยจะกลับมาเป็นกุนซือข้างหู พล.อ.ประวิตร-เป็นไม้วิเศษคอยติดสอยห้อยตามในการลงพื้นที่ทุกตารางนิ้ว

“ไม่มีปัญหา ไม่มีความขัดแย้ง ผมไม่เคยเป็นศัตรูกับใคร ทุกคนมีผิดมีพลาดได้ ไม่มีใครดี 100 เปอร์เซ็นต์ ขนาดตนเองก็ไม่ได้ดี 100 เปอร์เซ็นต์ ถ้ามาขอโทษเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างก็จบ ไม่ติดใจอะไร ถ้าติดใจก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะมาแตกแยกกัน” พล.อ.วิชญ์ปล่อยวางความขัดแย้งที่เคยเกิดขึ้นในบ้านเลขที่เศรษฐกิจไทย

ขณะที่การ “คัมแบ็ก” ของผู้กองธรรมนัส ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า และ ส.ส.เศรษฐกิจไทยจะชัดเจนก่อนถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566

ว่าจะ “เพลย์เซฟ” ลาออกจาก ส.ส.ก่อน “เดดไลน์” หรือ “วัดใจ” พล.อ.ประยุทธ์ “ยุบสภา” ไม่อยู่จนครบวาระวันที่ 23 มีนาคม 2566 เพื่อดูด ส.ส.จากพรรคอื่นเข้าพรรครวมไทยสร้างชาติเป็น “ก๊อกที่สอง”

อีก 1 ขุนพลเศรษฐกิจที่เรียกมาติดธงพลังประชารัฐคือ “มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์” อดีตหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่-โอกาสไทย ที่เปิดตัว (เอง) เป็น “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” ที่ยังไม่มีบทบาทออกหน้าสื่อตั้งแต่เข้ามา แต่ก็ขึ้นเวทีระดมทุนของพรรคพลังประชารัฐ

แถมยังได้ “สกลธี ภัททิยกุล” อดีตรองผู้ว่าฯ กทม. แกนนำกลุ่ม กปปส. มาเป็น “แม่ทัพ” นำทัพสู้ศึกเลือกตั้ง กทม. ขณะที่ นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ-อันวาร์ สาและ ก็เข้ามาสวมเสื้อพลังประชารัฐ เสริมกำลังในพื้นที่ภาคใต้

อีกจิ๊กซอว์หนึ่งที่ขาดไม่ได้คือ ซ้อเจน “ศรีสมร รัศมีฤกษ์เศรษฐ์” ที่ย้ายจากพรรคประชาธิปัตย์ มาดูสมัครจังหวัดกาญจนบุรี ที่ “วิรัช รัตนเศรษฐ” รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ต้องเอ่ยปากขอบคุณด้วยความซึ้งใจ ที่เข้ามาจัดตัวเสริมกำลัง จากที่ก่อนหน้านี้ ส.ส.กาญจนบุรี พรรคพลังประชารัฐ เก็บข้าวของย้ายไปพรรคภูมิใจไทยยกจังหวัด

ดรีมทีมเศรษฐกิจ

การคัมแบ็กของทีมสมคิด-กลุ่มสี่กุมารเท่ากับมาเสริม “ทีมเศรษฐกิจ” ให้กับพรรคพลังประชารัฐเข้มแข็งมากขึ้น เพราะมี “ที่ปรึกษาทางใจ” คอยเซตประเด็น-นโยบายเศรษฐกิจอยู่
หลังม่านให้กับนายสนธิรัตน์และนายอุตตม

นโยบายเศรษฐกิจที่ออกแบบภายใต้ยี่ห้อพรรคสร้างอนาคตไทย ก็จะถูกนำมาบรรจุไว้ในนโยบายพรรคพลังประชารัฐ อาทิ โครงการ “ปุ๋ยคนละครึ่ง” หมู่บ้านโอท็อป

โดยเฉพาะ “บัตรประชารัฐภาคสอง” อัพเกรดเป็นการออก “คูปอง” uskill-reskill สร้างงาน-สร้างอาชีพ ให้ได้ค่าแรงมากกว่า 600 บาท และไม่ใช่เฉพาะผู้มีรายได้น้อย 19 ล้านคน แต่จะรวมถึงผู้ประกอบการเอสเอ็มอี-สตาร์ตอัพ

ปัจจุบันทีมเศรษฐกิจของพรรคพลังประชารัฐ ทั้งทีม สันติ พร้อมพัฒน์ เจ้าของผลงาน “บัตรประชารัฐ 700 บาท” ผนึกกำลังกับ “นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” ผู้ร่วมบุกเบิกนโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

“นฤมล” เจ้าของแนวคิด “กระทรวงน้ำ” สมัยนั่งเก้าอี้ รมช.แรงงาน เคยขายไอเดีย การเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงของกองทุนประกันสังคมให้มีความยั่งยืน

ทีมมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ เจ้าพ่อการตลาด นักประชาสัมพันธ์-เซลส์แมนมืออาชีพ ที่อยู่เบื้องหลังแคมเปญเศรษฐกิจให้กับ 2 รัฐบาล 3 นายกรัฐมนตรี

ทีมสามมิตร นายสมศักดิ์ เทพสุทิน-นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ “สมศักดิ์” ยังฝังใจอยู่กับ โครงการโคบาลประชารัฐ หรือ “โคล้านตัว” ที่เป็นนโยบายหาเสียงในการเลือกตั้งเมื่อปี’62 แต่ยังไม่มีโอกาสไปนั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

ส่วน เสี่ยแฮงค์ นายอนุชา นาคาศัย 99.99% ย้ายไปพรรครวมไทยสร้างชาติ และอาจจะหนีบนายชาญกฤษ เดชวิทักษ์ ที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับผลิตภัณฑ์ใหม่ “หวยสองตัวสามตัว” ไปอยู่กับ พล.อ.ประยุทธ์อีกคน

การรวมตัวของคีย์แมนเศรษฐกิจ “ศิษย์เก่าไทยรักไทย” เป็น “ดรีมทีมเศรษฐกิจ” ของพรรคพลังประชารัฐ หลังจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะบรรเลงเพลงเศรษฐกิจกันได้ “เข้าขา” หรือ “คนละคีย์”

ทุนมุ่งหน้าสู่แยกราชประสงค์

การได้เบอร์ใหญ่-บิ๊กเนมมาเสริมทัพพลังประชารัฐ ก่อนเวลาตั้งโต๊ะจีน “ระดมทุน” ไม่กี่ชั่วโมง ทำให้ยอดลงทุนทะลุ 170 โต๊ะ 510 ล้านบาท

ย้อนกลับไปก่อนการเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 พรรคพลังประชารัฐระดมทุนที่ตั้งไว้ 200 โต๊ะ ยอดรวม 650 ล้านบาท วันนี้ถนนทุกสาย-ทุนทุกสี มุ่งหน้าสู่แยกราชประสงค์