สุวัจน์ ใช้โคราชโนมิกส์ บูมอีสาน มั่นใจรักษาเก้าอี้ ส.ส.ได้  

นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ
นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แคนดิเดตนายกฯ และประธานพรรคชาติพัฒนากล้า

สุวัจน์ สร้างแพลตฟอร์มเศรษฐกิจใหม่ ชูจุดแข็ง-จุดขาย โคราชโนมิกส์ เชื่อมจีน-รัสเซีย-ยุโรป มั่นใจ ประชาชนตอบรับ รักษาเก้าอี้ ส.ส.นครราชสีมาได้

วันที่ 2 พฤษภาคม 2566 ที่ห้องพารากอนฮอลล์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน เครือมติชน ร่วมกับเครือเดลินิวส์ จัดงานดีเบตการเมือง ในธีม มติชน เลือกตั้ง 66 บทใหม่ประเทศไทย เวที “สงคราม 9 พรรค The Last War” โดยเวทีแบ่งออกเป็น 3 รอบ โดยรอบที่ 3 เป็นรอบ “แม่ทัพ วิสัยทัศน์และสัญญาประชาคม” โดยให้แคนดิเดตนายกฯ ของแต่ละพรรคการเมือง กล่าวถึงนโยบายของพรรคและตอบคำถามจากกองบรรณาธิการ

ทั้งนี้ นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แคนดิเดตนายกฯ และประธานพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวถึงนโยบายหากได้เป็นรัฐมนตรี โดยแบกเป็นเรื่องเศรษฐกิจ

วันนี้เกิดปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจอย่างใหญ่หลวง ถ้าหากมองย้อนกลับไปในยุคที่ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี ในช่วงนั้นประเทศไทยมี GDP เติบโตขึ้นปีละ 10% สามปีซ้อน ประเทศไทยจึงได้รับการขนานนามว่าเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย หลังจากนั้นเมื่อเกิดการรัฐประหาร ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจถดถอย

สาเหตุสำคัญคือ เราตามไม่ทันยุคของเทคโนโลยีและดิจิทัล ประเทศไทยอยู่ในยุคของการปฏิวัติครั้งที่ 4 จากนั้นขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศลดลงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับปัญหาในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลให้รัฐบาลเป็นหนี้ทั้งหมด 60% ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งถือว่าสูงมาก

Advertisment

ในแต่ละปีประเทศไทยเหลืองบประมาณเพียง 20% เท่านั้น ที่เป็นงบลงทุนสามารถนำมาลงทุนได้ ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของประเทศ OECD (องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ) อย่างน้อย 35% ทั้งหมดชี้ให้เห็นภาวะวิกฤตที่เกิดขึ้นจากปัญหาภายในของประเทศ

ถ้าหากมองดูปัญหาภายนอกควบคู่ไปด้วย จะเห็นได้ว่า ขณะนี้โลกเกิดประเด็นในเรื่องของสงครามจีน สงรามการค้า หรือเรื่องของพลังงาน และการเปลี่ยนภูมิรัฐศาสตร์ หรือแม้กระทั่งการจับขั้วทางเศรษฐกิจใหม่

จากนี้ทุกประเทศจะต้องใช้จ่ายเงิน และมีการปรับโครงสร้างภาษี เปลี่ยนรูปแบบการทำอุตสาหกรรมธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการล่มสลายของสถาบันการเงินต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งเป็นสัญญาณที่ไม่ดีกับระบบเศรษฐกิจ

“ต่อจากนี้ประเทศไทยจะต้องฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ จะต้องสร้างแพลตฟอร์มเศรษฐกิจใหม่ และสังเกตว่ามีสิ่งใดที่ประเทศสามารถนำมาต่อสู้กับประเทศอื่นได้ หาจุดแข็ง หาตัวตน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องอยู่บนพื้นฐานความเข้มแข็ง และซอฟต์พาวเวอร์ โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร” นายสุวัจน์กล่าว

Advertisment

นายสุวัจน์กล่าวว่า ประเทศไทยมีจุดแข็งทั้งหมด 3 เรื่องด้วยกัน คือ เรื่องเกษตร อาหาร ถัดมาคือเรื่องของการท่องเที่ยว สุดท้ายคือซอฟต์พาวเวอร์ จุดแข็งแรก คือ เรื่องการเกษตรและอาหาร ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตสินค้ารายใหญ่ของโลก แต่ส่งออกวัตถุดิบทางด้านเกษตรเป็นส่วนใหญ่ โดยไม่ได้นำมาแปรรูปและสร้างมูลค่าเพิ่ม หรือทำให้เป็นสินค้าอุตสาหกรรม

ตัวอย่างเช่น มันสำปะหลัง 1 ปี ผลิต 5 ล้านตัน มีเพียง 1 ล้านตันเท่านั้นมีนำมาผลิตเป็นสินค้าอุตสาหกรรม และมีมูลค่าของ 1 ล้านตันนั้นเท่ากับ 4 ล้านตันที่ประเทศไทยส่งออกเป็นวัตถุดิบ จะเห็นได้ว่าประเทศไทยมีโอกาสสูงที่จะสามารถใช้ศักยภาพความเป็นมหาอำนาจด้านเกษตร และสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างการแปรรูป ทุกวันนี้แรงงานภาคเกษตร 32% มีผลผลิต หรือ GDP เพียง 8% เท่านั้น รายได้ของประเทศ 8% เกิดจากคน 32% ของประเทศ

จุดนี้จะเห็นถึงความไม่สมดุล เพราะฉะนั้นหากเปลี่ยนกระบวนการของอุตสาหกรรม พร้อมกับยกระดับความเป็นมหาอำนาจทางด้านเกษตร ข้าว อ้อย ยาง มัน น้ำมันปาล์ม จะสามารถเพิ่ม SMEs เพิ่มผู้ประกอบการ และเพิ่มรายได้ ซี่งเกษตรกรของประเทศจะร่ำรวยอย่างมหาศาลด้วยนโยบายนี้

จุดแข็งถัดมาคือ การท่องเที่ยว ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยว 40 ล้านคน สร้างรายได้ทั้งหมด 2 ล้านล้าน แปลงเป็น GDP คือประมาณ 15% ซึ่งภายใน 4 ปีนี้ สามารถเพิ่มนักท่องเที่ยวเป็น 70 ล้านคน จากเคยอยู่ประเทศไทย 10 วัน ขยายเป็น 12 วัน เคยใช้จ่ายวันละ 5,000 บาท ขยายเป็น 6,000 บาท

เพียงเท่านี้จาก 2 ล้านล้านบาท กลายเป็น 5 ล้านล้านบาท การท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นมาถึง 30% ของ GDP ต้องใช้การท่องเที่ยวเป็นการกระตุ้น ฟื้นฟู และสร้างฐานเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

จุดแข็งสุดท้าย คือ ซอฟต์พาวเวอร์ ประเทศไทยเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยซอฟต์พาวเวอร์ ไม่ว่าจะเป็น ศิลปะ ดนตรี อาหาร วัฒนธรรม และโอท็อป ซึ่งจะต้องนำพลังของซอฟต์พาวเวอร์มาเป็นพลังทางเศรษฐกิจ

“ทั้งเกษตร อาหาร ท่องเที่ยว และซอฟต์พาวเวอร์ นี่คือจุดแข็งทางด้านเศรษฐกิจของประเทศไทย ซึ่งจะนำมาทำเป็นแพลตฟอร์มใหม่” นายสุวัจน์กล่าว

“ทุกวันนี้มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ มีข้อตกลงการค้าใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย อีกทั้งยังมีการจับขั้วทางเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นนโยบายต่างประเทศของพรรคจะต้องเป็นไปในเชิงรุก พร้อมกับสร้างบทบาทให้ประเทศไทยได้มีบทบาทบนเวทีต่างประเทศ”

“เพื่อที่จะได้อยู่ในระยะห่างที่เหมาะสม และสามารถรักษาผลประโยชน์ของประเทศ ประเทศไทยต้องกลับมาเป็นหนึ่งในอาเซียน และใช้อาเซียนเป็นเกราะป้องกันทางด้านเศรษฐกิจ อีกทั้งยังสามารถลดยุทโธปกรณ์ทางด้านทหาร ซึ่งจะสามารถลดงบประมาณได้เยอะ” นายสุวัจน์กล่าว

นายสุวัจน์กล่าวว่า นโยบายสุดท้าย เรื่องของการเมืองในปัจจุบันที่มีความขัดแย้งมาเกือบ 20 ปี เหมือนก้อนกรวดในรองเท้า และเดินไม่ถนัด ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่จะต้องลดความขัดแย้งทางการเมือง การเมืองต้องพูดคุยกันได้ และทำหน้าที่ร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล หรือฝ่ายค้าน เพื่อให้เกิดเสถียรภาพ หากการเมืองเข้มแข็งจึงจะสามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจต่าง ๆ ให้ลุล่วงได้

เครื่องมือที่สำคัญอีกหนึ่งสิ่งที่จะนำมาช่วยในการลดความขัดแย้งและการเหลื่อมล้ำ คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ร่างขึ้นในยุคที่มีรัฐประหาร ทุกวันนี้ แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีไม่ไหวแล้ว ดังนั้นเราสนับสนุนให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

นายสุวัจน์ตอบคำถาม โคราชโนมิกส์ จะช่วยให้ชาติพัฒนากล้า รักษาฐานที่มั่น จ.นครราชสีมา ได้หรือไม่ว่า  ในทางการเมือง เขาบอกว่า ถ้าแก้ไขปัญหาความยากจนในภาคอีสานได้ประเทศไทยก็จะหลุดพ้นจากความยากจน ฉะนั้น นโยบายโคราชโนมิกส์ เป็นนโยบายที่จะสร้างภาคอีสาน สร้างโคราชให้เป็นระเบียงเศรษฐกิจทางด้านการลงทุน คล้าย ๆ กับ EEC ขึ้นที่ภาคอีสาน

เหมือนกับนโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า เหมือนเปิดประตูอีสาน สู่อินโดจีน ที่พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ทำสำเร็จ เศรษฐกิจยุคนั้นเป็นยุคทอง เพราะผู้นำมองตลาดการค้าออก มองอินโดจีนออกและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน แล้วชวนคนมาลงทุน ส่งสินค้าไปขายอินโดจีน นี่เป็นเหตุผลสำคัญในช่วงนั้นเศรษฐกิจในอีสานดีมาก

แต่วันนี้อีสานไม่เหมือนเดิมแล้ว เปลี่ยนแปลงไป คู่ขาคู่ลงทุนของอีสานไม่ใช่อินโดจีน แต่คือจีน วันนี้ถ้าเกิดเราต่อมอเตอร์เวย์ ต่อรถไฟความเร็วสูง ต่อรถไฟทางคู่ ไปถึงแค่หนองคาย ภาคอีสานสามารถเชื่อมกับจีนได้เลย เพราะจากจีนมีรถไฟความเร็วสูงไปถึงกรุงเวียงจันทน์ จากยูนนาน จากคุนหมิง

ฉะนั้น หมายความว่าวันนี้ถ้าเราเชื่อมทุกอย่างของภาคอีสานไปสู่จีนได้ผ่านรถไฟความเร็วสูง 1,400 ล้านคนคือประชากรของจีน และจีนกำลังมีเส้นทางสายใหม่ที่เชื่อมโยงไปถึงรัสเซีย ยุโรป แอฟริกา นั่นคือกลุ่มนักธุรกิจที่จะมาลงทุนภาคอีสาน

ดังนั้น นโยบายโคราชโนมิกส์ คือนโยบายที่จะบูมภาคอีสานอีกครั้งหนึ่ง เพื่อต้อนรับนักลงทุน นักท่องเที่ยว โดยการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่แล้ว เพื่อดึงนักธุรกิจนักลงทุนการท่องเที่ยวกลับมาภาคอีสานอีกครั้ง เพราะทุกเวทีที่เราปราศรัย จะได้รับการขานรับจากพี่น้องประชาชนว่าเชื่อมั่น ฉะนั้น ผมเชื่อมั่นว่าโคราชโนมิกส์ จะนำเศรษฐกิจยุคทองกลับมาสู่ภาคอีสานอีกครั้งหนึ่ง

ส่วนถ้าได้ร่วมรัฐบาลอยากทำงานกระทรวงอะไรมากที่สุด นายสุวัจน์กล่าวว่า กระทรวงอะไรก็ได้ ขอให้อยู่ภายใต้นโยบาย ที่เราบอกว่า ผมจะมีนโยบาย การท่องเที่ยว 2 เท่า ถ้าให้เราคุมกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เราก็สามารถผลักดันได้ หรือบอกว่ามีนโยบายกองทุนซอฟต์พาวเวอร์ 10,000 ล้าน เป็นพลังทางเศรษฐกิจ เรายินดีที่จะไปอยู่กระทรวงวัฒนธรรม ไม่ว่ากระทรวงใหญ่กระทรวงเล็ก

ถ้าตรงนโยบายและสิ่งนั้นจะมาเป็นแพลตฟอร์มทางด้านเศรษฐกิจใหม่ให้กับประเทศ หรือภาคเกษตร เป็นเรื่องของอุตสาหกรรมในการสร้างเงินสร้างงานสร้างรายได้ การค้า การส่งออกให้พี่น้องเกษตรกรร่ำรวย ถ้าให้กระทรวงเกษตรเราก็ยินดี หรือกระทรวงคมนาคม ก็มีนโยบายอยู่แล้ว “มอเตอร์เวย์ทั่วไทย” โคราชมอเตอร์เวย์ต้องเปิด

หรือเราสามารถที่จะต่อเส้นทางคมนาคม เชื่อมโยงไปถึงเมืองจีนและสร้างนโยบายโคราชโนมิกส์ ให้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะอยู่กระทรวงไหน เราก็คิดว่าขอให้มีโอกาสทำงาน เป็นกระทรวงที่จะสามารถผลักดันนโยบายต่าง ๆ เพราะเรามีนโยบายที่สำคัญมาก กระทรวงอะไรก็ได้

“ขอให้เราเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาประเทศ แล้วได้นำนโยบายดี ๆ ที่เราบอกกับพี่น้องประชาชนมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เพื่อสร้างแพลตฟอร์มใหม่ด้านเศรษฐกิจให้กับไทย วันนี้ต้องอยู่บนจุดแข็ง ความยั่งยืนและความเป็นไทย เราก็จะฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจได้” นายสุวัจน์กล่าว