ประวิตรไฟเขียวต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินชายแดนใต้ครั้งที่ 72 อีก 3 เดือน

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

ประวิตรไฟเขียวขยายเวลา พ.ร.ก.ฉุกเฉินชายแดนใต้อีก 3 เดือน ตั้งแต่ 20 มิ.ย. 66 และสิ้นสุด 19 ก.ย. 66 เป็นครั้งที่ 72

วันที่ 25 พฤษภาคม 2566 ที่มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษก รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน (กบฉ.) ครั้งที่ 2/2566 ที่ประชุมได้รับทราบ ผลการปฏิบัติงานตามพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ห้วง 20 มี.ค. 66-15 พ.ค. 66 และแนวโน้มสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีความสงบเรียบร้อยมากขึ้นตามลำดับ และสามารถพัฒนาไปสู่การปรับลดพื้นที่ออกจากการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินได้มากขึ้นในโอกาสต่อไป

จากนั้นที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบ (ร่าง) แผนการปฏิบัติการปรับลดพื้นที่การประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ปี’66-70) ตามที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ภาค 4 ส่วนหน้า เสนอเพื่อให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบและใช้เป็นแนวทางการปฏิบัติงานในพื้นที่ต่อไป

“จากนั้นได้เห็นชอบให้เสนอ ครม.พิจารณาขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยกเว้น อ.ศรีสาคร อ.สุไหโก-ลก อ.แว้ง อ.สุคิริน จ.นราธิวาส อ.ยะหริ่ง อ.มายอ อ.ไม้แก่น อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี และ อ.เบตง อ.กาบัง จ.ยะลา ออกไปอีก 3 เดือน ตั้งแต่ 20 มิ.ย. 66 และสิ้นสุด 19 ก.ย. 66 เป็นครั้งที่ 72 เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ เป็นการป้องกัน ระงับ ยับยั้งเหตุการณ์ในพื้นที่ได้อย่างทันท่วงที รวมทั้งจะเป็นประโยชน์ต่อการดูแลรักษาความสงบและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ต่อไปด้วย”

พล.อ.ประวิตรยังได้กล่าวขอบคุณหน่วยงานด้านความมั่นคงที่ดูแลความสงบเรียบร้อย และอำนวยความสะดวก ให้ประชาชนห้วงการเลือกตั้งที่ผ่านมาด้วยดี พร้อมทั้งให้กำลังใจกำลังพลและเจ้าหน้าที่ทุกนายในพื้นที่ จชต.ที่ได้ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ด้วยความทุ่มเท เสียสละ และกล้าหาญ เพื่อประเทศชาติและประชาชนได้อย่างน่าภาคภูมิใจ และขอบคุณประชาชนในพื้นที่ที่ได้ให้ความร่วมมือ ร่วมใจกับภาครัฐเป็นอย่างดียิ่ง นำมาซึ่งความสันติสุข ร่มเย็นเพื่อรองรับการพัฒนาพื้นที่ จชต.ให้มีความเจริญรุ่งเรืองอย่างยั่งยืนต่อไป