เศรษฐา นักธุรกิจสู่การเมือง ภารกิจ Transform พรรคเพื่อไทย

เศรษฐา ทวีสิน
เศรษฐา ทวีสิน

ความพ่ายแพ้ของพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้งวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 เดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญที่ต้องเกิดการ Transform พรรคเพื่อไทยทั้งพรรค

“ประชาชาติธุรกิจ” Special Talk เศรษฐา ทวีสิน อดีต CEO บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ในงานเอ็กซ์คลูซีฟดินเนอร์ทอล์ก “JOURNEY TO TRANSFORM” ในโอกาสก้าวสู่ปีที่ 47 หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ เปิดใจเป็นครั้งแรก ที่แรก กับหลาย ๆ เรื่องที่ไม่มีใครรู้มาก่อน

โดยเฉพาะที่เขาผันตัวจากนักธุรกิจ พลิกมาเป็นนักการเมือง ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย

Q : การตัดสินใจครั้งแรกที่ทรานส์ฟอร์มจากนักธุรกิจสู่นักการเมืองกลัวหรือไม่

คิดอยู่นานมาก ชักเข้าชักออก กับตัวเองนานพอสมควรเหมือนกัน อย่างที่ทราบดีว่านักธุรกิจที่ก้าวข้ามสู่การเมือง ปรารถนาอยู่ในตำแหน่งที่สูงสุด มีเสียงเตือนเยอะ วิบากกรรมเยอะ ทั้งเรื่องคดี ไม่อยากใช้คำว่าถูกกลั่นแกล้ง แต่เป็นที่เพ่งเล็ง ใช้คำนี้ดีกว่า

ต้องยอมรับว่า 8-9 ปีหลัง บ้านเมืองค่อนข้างประสบปัญหาเยอะพอสมควร นักธุรกิจหลายท่านทราบดี เรื่อง k-shape recovery เรื่องความเหลื่อมล้ำ ก็เป็นปัญหาใหญ่ เราเองมีฐานะดีพอสมควร ไม่จำเป็นจะต้องมีเยอะไปกว่านี้

ความสุขทางกายก็เป็นอย่างหนึ่งที่เราสามารถมีได้ แต่ความสุขทางใจบางที ต้องเห็นคนอื่นมีบ้าง เห็นสังคมเจริญเติบโตในทิศทางที่แข็งแกร่งขึ้น เพื่อน ๆ ผมหลายคนเวลากินข้าวสังสรรค์กันพูดเรื่องปัญหาบ้านเมือง เป็นการด้อยค่าคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง นักการเมือง ข้าราชการ หรือหลาย ๆ ภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง แต่ไม่มีนักธุรกิจคนไหนเข้ามาอย่างเต็มที่สักคน แต่ก็เคารพการตัดสินใจ

ผมเชื่อว่าในช่วงที่เปลี่ยนมานี้ ประเทศไทยต้องการการเปลี่ยนแปลง ต้องการคนที่มีมุมมองใหม่ ๆ ไม่งั้นก็จะมีการบอกว่านักการเมืองมีแต่หน้าเก่า มีแต่เป็นบ้านใหญ่ แต่ก็ไม่มีใครจะเสนอตัวมาตรงนี้

ถามว่าส่วนตัวกลัวไหม..กลัวตลอด ก็พยายามบริหารจัดการไป แต่เราไม่มีความสุขที่อยู่อย่างสบายคนเดียว

Q : มองปัญหาของประเทศเปลี่ยนไป

เปลี่ยนไปครับ เราเป็นคนกรุงเทพฯ ทุกคนอ่านโซเชียลมีเดีย อ่านหนังสือพิมพ์ เจอปัญหาเยอะแยะไปหมด แต่ไม่ใช่เป็นการตอบโต้ ไม่ได้เจอกับคนที่เขาเจอปัญหาจริง ๆ เช่น ไอยูยู ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไปเซ็นไว้กับอียู ซึ่งเป็นใบเหลืองของเรือประมง

ยอมรับนะว่า ตอนที่ท่านเซ็นใหม่ ๆ 4 ปีที่แล้วแอบชื่นชมว่าท่านปลดใบเหลืองไปได้ แต่พอลงพื้นที่จริง ๆ กลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เซ็นสัญญานี้เป็นสัญญาอัปยศทำลายการประมงไทย จากการที่เป็นประเทศส่งออกสัตว์น้ำ 3.5 แสนล้านต่อปี กลับกลายเป็นต้องนำเข้า 1.5 แสนล้านต่อปี ไปกลับ 5 แสนล้าน

เพราะเรือประมงไทย 4 หมื่นลำ ออกได้แค่หมื่นลำ เพราะออกไม่ได้ ถ้าออกไปถูกจับ เพราะเซ็นสัญญาไว้กับไอยูยู โดยไม่คำนึงถึงครอบครัวประมงไทยแสนกว่าครอบครัว ลองขับรถไปดูแถว ๆ ระยอง มีเรือขนาดไซซ์เล็กกับไซซ์กลางจอดระเนระนาดกันหมด ซึ่งมันเสียตรงที่อียูเป็นตลาดส่งออกสัตว์น้ำแค่ 8% ของประเทศไทย ทำไมต้องไปทำตามเขาด้วย

พรรคก้าวไกลถึงได้กวาดหมดเลยชายฝั่งตะวันออก เพราะมีความข่มขื่นมาก พรรคร่วมรัฐบาลที่อยู่จังหวัดระยองไม่ได้เอาใจใส่ ลองไปพูดคุยกับพี่น้องประมงทั้งหลาย เห็นได้จากแววตา บางคนร้องไห้ ไม่รู้จะกลับมาอย่างไร

บางคนจะกลับมาต้องใช้งบฯรีสตาร์ตใหม่ จะออกเรือได้ตามกฎที่ พล.อ.ประยุทธ์ไปลงนามมา มีใบสาธารณสุข ใบแรงงาน ขาดไปใบหนึ่งโดนคนละ 5 แสน ตัวเลขอาจจะใกล้เคียง เป็นอะไรที่เห็นแล้วเศร้าใจ อยากจะช่วยเหลือเขา เกิดจากปัญหาที่ผู้นำไม่ค่อยเข้าใจ

ต้องยอมรับนักการเมืองทั่วไป รวมถึงนักการเมืองเพื่อไทยหลาย ๆ คน จะลงพื้นที่ต่อเมื่อใกล้เลือกตั้ง ไม่ได้ติดตามปัญหาของประชาชนจริง ๆ

ที่เราพูดกันเรื่อง transformation หลาย ๆ เรื่องบอกว่าพรรคก้าวไกลมาได้เพราะโซเชียลดี ออนไลน์ดี TikTok ดี แต่หลาย ๆ อย่างการดูแลพี่น้องประชาชนก็เป็นเรื่องสำคัญ ผมพูดที่พรรคเพื่อไทย นอกจากการ transform เรื่องโซเชียลมีเดีย แต่เรื่องที่พรรคเพื่อไทยเก่ง คือการเทกแคร์พี่น้องประชาชนก็ต้องทำต่อไป แต่ทำในแบบที่แตกต่างออกไป

Q : สรุปบทเรียนเพื่อไทยแพ้ก้าวไกล

ตอนที่ปีดหีบใหม่ ๆ ผมคุยกับผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทย ไม่ได้ชะล่าใจ คุยแบบสบายใจ พูดอีก 4 ปี ข้างหน้าเราจะไปสู้เขาอย่างไร มันต้องลำบากนะ เหนื่อยที่จะสู้กับเขา แต่หารู้ไม่ ภายใน 4 ชั่วโมงครึ่ง มาเร็วกว่า 4 ปี อันนี้เรื่อง transformation มาเร็วมากโดยที่ไม่คาดคิดมาก่อน

การเมืองสมัยใหม่ยึดติดตัวบุคคลกับพรรคน้อยลง ยึดติดกับตัวนโยบายเยอะขึ้น 8 ปีที่ผ่านมา พี่น้องประชาชน suffer เยอะมาก เขาก็เรียนรู้ที่จะอยู่น้อย กินน้อย เรื่องเศรษฐกิจที่พรรคเพื่อไทยคิดว่าสำคัญก็ยังสำคัญอยู่ แต่การที่เขา suffer เยอะมาก นานถึง 8 ปี

จิตใจเป็นเรื่องสำคัญ โหวตเตอร์ต่างจังหวัดมีความคับแค้นใจ ก็มีความฝัน ความหวัง มีพรรคการเมืองมาพูดจาโดนใจให้ความหวังเขาอย่างเป็นไปได้

อันนี้เป็นบทเรียนอันหนึ่ง ที่เราคิดว่า โอ้ย..เศรษฐกิจยังไงเราก็ได้อยู่ดี แต่ความที่เขาเดือดร้อนมาเยอะมาก ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างเขาก็จะลำบาก

แต่ยืนยันว่าไม่เคยเข้าพรรคอื่น ผมมั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยเป็นองค์กรที่ครบ สมบูรณ์แบบทุกอย่าง มีวิธีการจัดการบริหารจัดการเหมือนองค์กรใหญ่ ๆ ทั่วไป ถ้าคุณใหญ่ทั่วไปแล้วเจออย่างเหตุการณ์วันที่ 14 พฤษภาคม แล้วคุณไม่ transform ขั้นต่อไปคือพรรคต่ำร้อยแน่นอน อาจจะต่ำกว่านั้นอีก เราเห็นแล้วว่าหลาย ๆ อย่างอีกพรรคหนึ่งเขาทำอย่างไร

Q : รับมือกับความผิดหวังอย่างไร

ผมเรียนอย่างนี้ครับ ผมต้องบอกตรง ๆ ว่า ไม่นึกว่าจะแพ้ ไม่เคยนึกว่าจะแพ้ และการทำงานของผมในช่วง 2 อาทิตย์หลังก็คือ ผมไม่อยู่ในสภาพที่จะทำงาน เพราะป่วย เต็มที่มานานมาก มีบางวันตื่นขึ้นมาบอกว่าผมไม่ไหวแล้ว แต่ก็ต้องลุกขึ้นไป เพราะเหตุผลเดียวไม่อยากเห็นรัฐบาลปัจจุบันกลับมาบริหารงานอีก ผมทนไม่ได้ ผมทนไม่ได้ เป็นแรงบันดาลใจที่ผมไม่อยากแพ้ ยังไงผมก็ไม่แพ้ ยังไงผมต้องไม่แพ้ และผมมั่นใจด้วยว่าผมไม่แพ้

แต่พอ 5 โมง 1 นาทีปั๊บ กำลังออกจากบ้านไปที่พรรค exit โพลออกมา ก็ไม่ได้ใจเสียขนาดนั้น แต่ผมยอมรับว่า 2 อาทิตย์สุดท้าย เหมือนมวย ยก 9 มวยมี 12 ยก ยก 9 คะแนนนำมาแต่เป๋ คิ้วแตก ตาปิดแล้ว รู้ว่าเป๋ แต่เป๋จาก 280 ลงมาเหลือประมาณ 250, 230 ยังไงก็ไม่ต่ำกว่า 200

ไม่เคยคิดว่าจะแพ้ แต่พอ 4 ทุ่มกว่า พอคะแนนดีขึ้นจาก 140 versus 130 ทางฝ่ายที่ลงพื้นที่บอกว่าเดี๋ยวเราจะห่าง 20% ผมก็สบายใจ พอพูดไม่ทันขาดคำ มันตีกลับมาเลย กลับไป 150, 140 แถว ๆ ทำนองนั้น ซึ่ง ณ จุดนั้นเรารู้ว่าเราแพ้

แพ้อย่างนี้ผมกลับโล่งใจ เพราะถ้าใครไปดูผมปราศรัยวันสุดท้าย จะมีคนหนึ่งจับกล้องผม ผมเกี่ยวก้อยกับคุณอิ๊ง (แพทองธาร ชินวัตร) บอกว่า ถ้า 280 พี่เป็น (นายกฯ) ให้นะ คุณอิ๊งเกี่ยวก้อยกับผมบอกว่าเท่าไหร่พี่ก็ต้องเป็น 280 ณ วันนั้นผมรู้ว่าไม่ได้

แต่ไม่เคยประเมินว่าจะต่ำกว่า 210 และผมพูดตลอดเวลาว่า ถ้าผมเป็นนายกฯ ไม่ต้องการเกียรติประวัติของการเป็นนายกฯ ผมต้องการเป็นนายกฯที่นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ต้องเกรงใจรองนายกฯ ที่ต้องทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง

ผมอยากเข้ามาเพื่อเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองจริง ๆ เมื่อออกมาอย่างนี้ผมกลับสบายใจ เพราะผมไม่ต้องเป็นแล้ว ถ้ากลับมาพรรคเพื่อไทยได้ 151 แล้วพรรคก้าวไกลได้ 141 ก็อาจจะต้องเหนื่อย

Q : แสดงสปิริตประชาธิปไตยสนับสนุนพิธา

ผมชัดเจน จุดยืนของผมยึดโยงกับพี่น้องประชาชน ผมไม่เอารัฐประหาร ไม่เอาเผด็จการ (รังเกียจ) ชัดเจน พูดแล้วพูดอีกทุกเวที ผมยินดีที่จะจับมือกับพรรคก้าวไกล ผมยินดีที่จะสนับสนุนคุณพิธา เพราะเขามีจิตวิญญาณประชาธิปไตย และในสปิริตของการแข่งขันในการเมืองไทย ถ้าได้คะแนนเสียงสูงสุดเราต้องสนับสนุน

เขาเลือกมาแล้ว เขามี ส.ส. เขามี 15 ล้านเสียง ผมได้ 10 ล้านเสียง เรื่องที่ผมไปแล้วผมบกพร่อง ก็เป็นความผิดของผม เมื่อเราแพ้ไปแล้ว คุณแพ้ไปแล้ว จะมาร้องแรกแหกกระเชออะไร และพรรคที่ชนะก็มีอุดมการณ์ร่วมกับเรา ซึ่งไม่เอารัฐประหาร ตรงนี้ก็เป็นจุดหนึ่ง ต้องเป็นแบบนั้น ไม่มีทางออกหนึ่ง

เรื่องการพ่ายแพ้ ถึงจะไม่เยอะก็ตามที ก็ต้องยอมรับว่า จากคำว่าแลนด์สไลด์มาเป็นแพ้ 10 เสียง ถือว่ายับเยินเหมือนกัน โดยเฉพาะเขามาจากฐานที่ต่ำมาก 60-70 เสียง แล้วเขามาถึง 150 เสียงก็ต้องให้เขา ต้องให้เกียรติประชาชนที่เลือกเขามา ส่วนนโยบายจะสุดโต่งไม่สุดโต่งก็ตามที ผมไม่ได้บอกว่าเราเห็นด้วยกับนโยบายเขา เราเห็นด้วยกับประชาชนที่เลือกเขามา ซึ่งเราให้เกียรติ

Q : ภารกิจ transform เพื่อไทย

เราพลาดถึงเรื่องความชัดเจนในหลาย ๆ เรื่อง ผมเชื่อว่าคนในพรรคหลาย ๆ คนไม่ mind ที่จะพูดเรื่องนี้ ผมก็ต้องพูดเรื่องความชัดเจนของเรา เรามีความชัดเจน แต่หลาย ๆ เรื่องเราอาจจะทำให้พี่น้องประชาชน เอ๊ะ ได้เหมือนกัน ว่าเอ๊ะ มันชัดเจนจริงหรือเปล่า เอ๊ะมันช้าไปหรือเปล่า

เรื่อง transformation ก็เป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องที่คำพูดคำเดียวมันชัดเจน เรื่อง speed to market เรื่องการตัดสินใจที่รวดเร็ว เรื่องมีกรณ์ไม่มีกู และ u-turn ได้ภายใน 2 ชั่วโมง

ไม่แน่ใจว่าถ้าเป็นพรรคเพื่อไทยจะทำได้ภายใน 2 ชั่วโมงหรือเปล่า อันนี้ก็ต้องยอมรับ เราก็ต้องยอมรับว่า องค์กรสมัยใหม่ พรรคก้าวไกลก็เป็นองค์กรสมัยใหม่ เขาเข้าใจถึงความเร็ว เราต้องมีหลายเรื่อง ซึ่งทุกคนในพรรคเพื่อไทยก็เข้าใจ บ่ายวันนี้คุยกับสมาชิกพรรคอย่างละเอียด คุยกับยังเติร์กอย่างละเอียดว่า

สิ่งที่เราพลาดไปคืออะไร เราต้องพัฒนาอย่างไร เราเป็นบริษัทที่ใหญ่ ที่แข็งแกร่ง มีครบหมดทุกอย่าง เข้าใจพี่น้องประชาชนดี แต่วันนี้เราใหญ่ จะเป็นแบบโกดัก หรือเป็นแบบเจพีมอร์แกน ผมอยากเป็นเจพีมอร์แกน ผมไม่อยากเป็นแบบโกดัก

ผมว่าวันนี้จุดเริ่มต้นต้องเอาปัญหาออกมาก่อน เรื่อง speed to market speed ในการ make decision ออกไป เรื่องการเข้าถึง new social media means ทั้งหลาย ซึ่งผมพูดกับคุณอิ๊งวันนี้ TikTok มา แต่ไม่ได้หมายความว่า 4 ปี จะเป็น TikTok อาจมีอย่างอื่นแล้วก็ได้

และเรื่องของ ส.ส. การลงพื้นที่ ในส่วนตัวผมเองถ้ากลับมาจากพักผ่อน และการจัดตั้งรัฐบาลนิ่งแล้ว การเคลื่อนไหวของผมเองก็เป็นลักษณะการลงพื้นที่ กลับไปคุยกับประมง กล้วยตานี ไก่ย่างเขาสวนกวาง กลับไปคุยหลายเรื่องที่ผมลงพื้นที่มาแล้วผมมี value added ไม่ใช่ลงพื้นที่ต่อเมื่อมีเลือกตั้ง จะลงพื้นที่ทันทีเมื่อฝุ่นจัดตั้งรัฐบาลหายตลบแล้ว

ผมก็ดีใจและขอบคุณตั้งแต่ครอบครัวที่เข้าใจเรื่องนี้ เพื่อนผมหลายคนลงพื้นที่มา ให้คน กทม.ได้เห็น เปิดหูเปิดตา และเข้าใจคนที่อยู่ชายขอบของสังคมมากขึ้น เรื่อง k-shape เป็นอะไรอันตรายมาก ถ้าหากฐานล่างไม่ถูกดันขึ้นมา ฐานบนขึ้นไม่ได้ ยังไงก็ขึ้นไม่ได้ ผมยืนยัน

Q : ครั้งหน้าจะเอาคืนให้ได้

แน่นอนครับ และทำทุก ๆ เรื่องที่พรรคมอบหมายให้ เรื่องทำทันทีคือเรื่องรีแบรนด์ ปรับเปลี่ยน วิธีการที่จะสื่อสาร หรือทำงานภายในก็เป็นส่วนหนึ่งของทีมช่วยขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เป็นเจพีมอร์แกน

Q : ยังมีความหวังกับการเมืองไทยอยู่

มีครับ ถ้าไม่อย่างนั้นคงไม่อยู่ต่อ และอยู่ในบทบาทที่ตัวเองคิดว่าสามารถนำความเปลี่ยนแปลงมาได้ อยู่กับความเป็นจริง และจะฝึกดีเบตอีกครั้งหนึ่ง น่าเสียดายลูกชายสองคนจบ Eton College เขาสอนให้ดีเบตเยอะมาก แต่ส่วนตัวผมไม่นั่นเลย ตอนนี้ก็ต้อง.. เพราะผมไม่ชอบแพ้ และรู้ว่า mistake อยู่ตรงไหน เราก็ยอมรับอย่างลูกผู้ชาย และเราก็เดินหน้าต่อไป