เอกนัฏ-ธนกร ชี้รวมไทยสร้างชาติต้องถกรายละเอียดร่วมรัฐบาลเพื่อไทย ปลดล็อกพรรคลุง เพราะไม่มีประยุทธ์แล้ว
วันที่ 2 สิงหาคม 2566 ที่ทำการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองหัวหน้าพรรค รทสช.ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยแถลงฉีกเอ็มโอยูสลายขั้ว 8 พรรค มีโอกาสทำให้พรรครทสช.ได้ร่วมรัฐบาลหรือไม่ ว่า ตนคงพูดไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) แต่ที่ผ่านมาหัวหน้าพรรคก็ยืนยันมาตลอดว่า เราสามารถเราสามารถทำงานได้กับทุกพรรคที่ยึดประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก และไม่มีนโยบายแก้ไขมาตรา 112 ดังนั้นอยู่ที่กก.บห. จะพิจารณา
“เราเป็นพรรคเล็กมีแค่ 36 เสียง ไม่ว่าเราจะเป็นฝ่ายค้านหรือเป็นรัฐบาลก็คิดว่า 36 คน ก็มีพลังในการทำงาน” นายธนกร กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าพรรคไม่มีปัญหาเรื่องของลุง ที่เป็นเงื่อนไขของพรรคก้าวไกลแล้วใช่หรือไม่ นายธนกร กล่าวว่า เรื่องนี้พรรคชัดเจนมากที่สุดตั้งแต่วันแรกแล้ว เพราะพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในฐานะสมาชิกพรรคได้ลาออกไปตั้งแต่ตอนแรกแล้ว และไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับพรรคแล้ว ซึ่งเรื่องนี้อาจจะเป็นเหตุผลของบางพรรคการเมืองเท่านั้น
“บางทีการดูข่าวการพูดของนักการเมืองรุ่นใหม่ รุ่นเก่ามากเกินไปแต่ละคนก็เก่งๆกันทั้งนั้น มีเพื่อนผมส่งงานวิจัยของต่างประเทศมาให้พบว่าถ้าเราไปดูอะไรที่มันโง่ๆมาก มันจะทำให้เราโง่ตามไปด้วย เพราะฉะนั้นก็ต้องระมัดระวังในการดูด้วย ที่ผมพูดไม่ได้มีความหมายอะไร”
ส่วนคุณสมบัตินายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทยนั้น นายธนกร กล่าวว่า ถ้านายเศรษฐายืนยันชัดเจนเกี่ยวกับมาตรา 112 ก็สามารถทำงานได้เพราะเป็นทั้งแคนดิเดตนายกฯและนักธุรกิจ ไม่ได้มีปัญหาอะไร
ส่วนก่อนหน้านี้นายเศรษฐาเคยพูดว่าจะแก้ไขมาตรา 112 พรรครทสช. หากร่วมรัฐบาลจะมั่นใจได้อย่างไร นายธนกร กล่าวว่า พรรคการเมืองในการทำงานการเมือง ต้องมีความชัดเจนก่อน ไม่ใช่ว่าวันนี้จะให้พรรคการเมืองอื่นยกไปก่อนคงไม่ได้ คงต้องมีการเจรจานอกรอบ และผู้ใหญ่ทุกพรรคก็ต้องพูดคุยกัน และต้องมีการแสดงเจตจำนงค์ที่ชัดเจนให้ประชาชนทราบก่อนแล้วจึงเดินหน้าต่อไป
ส่วนเรื่องที่ผ่านมาตนคิดว่า ทุกคนจะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองกระทำ ทั้งนี้ส่วนตัวคิดว่าไม่มีใครรังเกียจรังงอนใคร ทุกคนคนคิดเอาประโยชน์ประเทศชาติเป็นหลักและเดินไปข้างหน้า
เมื่อถามว่าพรรคเพื่อไทยบอกว่าหากแก้ไขรัฐธรรมนูญเสร็จจะคืนอำนาจให้ประชาชนคือการเลือกตั้งใหม่ นายธนกร กล่าวว่า ก็เป็นเรื่องที่ดี ส่วนใหญ่ที่ผ่านมาที่ผ่านมาพอแก้รัฐธรรมนูญเสร็จ ไม่นานก็จะมีการยุบสภาเหมือนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่ว่า 1-2 ปีเสร็จ บางที 3 ปีหรืออาจจะครบวาระของรัฐบาลก็ได้
ด้าน นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการ รทสช.กล่าวว่า พรรครวมไทยสร้างชาติยังมีจุดยืนเดิม โดยต้องดูไปตามขั้นตอน อันดับแรกคือการโหวตนายกรัฐมนตรี พรรคชัดเจนว่าหากมีพรรคก้าวไกลและการแก้ไขมาตรา 112 ก็ไม่สามารถโหวตให้ได้ ทั้งนี้ คงจะต้องมีเนื้อหาสาระมากกว่านี้ คิดว่าคงไม่ง่าย ส่วนที่จะมีการแถลงจัดตั้งรัฐบาลในวันที่ 3 ส.ค.นั้น ขณะนี้ก็ยังไม่ทราบ และยังไม่ได้รับการติดต่อจากพรรคเพื่อไทย
ผู้สื่อข่าวถามว่า มองคุณสมบัตินายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยอย่างไรบ้าง นายเอกนัฏ กล่าวว่า การโหวตนายกฯ ทั้ง 2 ครั้งติดที่มาตรา 112 โดยครั้งที่ 3 คิดว่าแคนดิเดตนายกฯ ก็ต้องประกาศให้ชัด ต้องมีการอธิบายและหารือกันในรัฐสภา จากฝั่งสว. และ สส. คิดว่าประเด็นมาตรา 112 ต้องมีการชี้แจงก่อนที่จะโหวตนายกฯ
ซึ่งถือเป็นข้อแรก และหากประกาศชัดแล้วว่าไม่เดินหน้าแก้ไข รวมถึงไม่เป็นวาระในรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาล ก็จะเริ่มสามารถพูดคุยกันได้ แต่ส่วนจะร่วมด้วยหรือไม่ร่วมนั้นจะมีการพูดคุยกันก่อน เพราะอาจจะมีรายละเอียดหลายเรื่องก็ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถึงการพูดถึงปัญหา 2 ลุงคือพรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคพลังประชารัฐจะมีการแก้ปัญหาร่วมกันอย่างไร นายเอกนัฏ กล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องแก้ปัญหาอะไร เพราะพรรครวมไทยสร้างชาติไม่ได้ติดใจว่าจะต้องไปทำงานในฐานะรัฐบาล และไม่ติดใจหากจะต้องเป็นฝ่ายค้าน สามารถทำหน้าที่ได้ เพียงแต่จะอยู่ตรงไหนต้องรักษาจุดยืน
ส่วนการพูดถึงไม่เอาลุงนั้น สำหรับพรรครวมไทยสร้างชาติ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้ลาออกไปแล้วจึงไม่อยากให้พูดถึงอีก อยากให้มองไปที่อนาคตดีกว่า อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุด หากจมอยู่กับอดีตก็ไม่มีอนาคต
เมื่อถามว่า หากต้องไปทำงานร่วมกับพรรคเพื่อไทย จะทำความเข้าใจกับมวลชนอย่างไร นายเอกนัฏ กล่าวว่า การรักษาจุดยืนของพรรครวมไทยสร้างชาติถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แม้จะเป็นพรรคที่มี 36 เสียงแต่จุดยืนชัดเจน พรรคมี 36 เสียงมีผลต่อการตั้งรัฐบาลยากอยู่แล้วเป็นที่เข้าใจได้
ทั้งนี้ตนในฐานะเลขาธิการพรรค ก็ยืนยันมาตลอดว่าไม่ได้ติดใจว่าจะต้องเข้าไปทำงานในฐานะใด เพราะไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนสามารถทำงานได้อย่างดีที่สุดอยู่แล้ว ในฐานะของ สส.อยู่ในสภาฯ ทุกคนก็ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ นอกสภาฯ ยังมีงานอื่นที่จะต้องทำไม่ว่าจะเป็นการงานในพื้นที่ของ สส.หรือเรื่องของพัฒนาพรรค ปรับปรุงการบริหารจัดการพรรคให้งานด้านการเมืองมีศักยภาพมากยิ่งขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคจะให้เป็นการฟรีโหวตหรือไม่ นายเอกนัฏ กล่าวว่า เนื่องจากตอนนี้ยังไม่มีข้อมูล รวมถึง เงื่อนไขต่าง ๆ มากนัก ดังนั้นจึงจะต้องหารือกันในพรรคก่อนว่าจะเอาอย่างไร ทั้งเรื่องของการโหวต หรือ เงื่อนไขต่าง ๆ คิดว่าในเวลานี้ข้อมูลยังไม่พอในการตัดสินใจ อย่างไรก็ตามส่วนตัวของตนประกาศในจุดยืนเดิมว่า ยังยึดมั่นในอุดมการณ์ ตั้งแต่โหวตมาวันแรกถึงวันนี้ชัดเสมอว่า เอาหรือไม่เอาอะไร แต่สำหรับพรรคจำเป็นต้องมีทิศทางที่ชัดเจนว่าจะไปทางไหน
“สิ่งสำคัญตอนนี้คือ อยากจะขอความชัดเจนเรื่อง ม.112 จะแก้หรือไม่แก้ ถ้าไม่แก้ก็ขอให้ประกาศให้ชัดโดยแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีด้วย จะได้ชัดเจนสำหรับทุกคนในการตัดสินใจ” เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าว