
เพื่อไทย ปิดดีลตั้งรัฐบาล 315 เสียง พรรค 2 ลุงมาครบ หนุน “เศรษฐา ทวีสิน” เป็นนายกฯ รอความชัดเจนแบ่งเค้กเก้าอี้รัฐมนตรี คาดใช้สูตร 9 ต่อ 1
วันที่ 11 สิงหาคม 2566 มติชนออนไลน์ รายงานความคืบหน้าการจัดตั้งรัฐบาลว่า ล่าสุดผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคเพื่อไทย (พท.) ถึงการรวบรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลว่า ขณะนี้พรรคเพื่อไทยได้ร่วมกับพรรคการเมืองต่าง ๆ และแถลงร่วมยกมือโหวตให้กับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยไปแล้วจำนวนมาก
- ครม.เคาะแล้ว ซื้อสินค้าลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 5 หมื่นบาท เริ่ม 1 ม.ค. 67
- MOTOR EXPO 5 วัน ค่ายอีวี BYD ลุ้นแซงโตโยต้า ขึ้นผู้นำขายสูงสุด
- เช็กเงินช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1,000 บาท เงินเข้าบัญชีวันนี้ 38 จังหวัด
ประกอบด้วย พรรคภูมิใจไทย (ภท.) 71 เสียง พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) 10 เสียง พรรคประชาชาติ (ปช.) 9 เสียง พรรคเพื่อไทรวมพลัง (พทล.) 2 เสียง พรรคชาติพัฒนากล้า (ชพก.) 2 เสียง ส่วนพรรคเสรีรวมไทย (สร.) พรรคพลังสังคมใหม่ พรรคท้องที่ไทย พรรคประชาธิปไตยใหม่ พรรคละ 1 เสียง รวมเป็น 238 เสียง
ล่าสุด พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แม้จะยังไม่แถลงข่าวร่วมกัน แต่ก็แสดงความชัดเจนว่าจะยกมือ 40 เสียงให้พรรคเพื่อไทย โดยนายไผ่ ลิกค์ สส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ถึงการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี จากพรรคเพื่อไทยว่า “พรรคพลังประชารัฐจะไม่ขาดแม้แต่คนเดียว เราจะมาทั้งหมด โดยไม่มีข้อแม้ ไม่มีข้อเสนออะไรทั้งนั้น” ทำให้มีเสียงรวมกันอยู่ที่ 278 เสียง
และขณะนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) จะมายกมือโหวตให้กับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย หากเป็นเช่นนั้นจะเพิ่มอีก 36 เสียง ทำให้รวบรวมเสียงได้ 315 เสียง ทำให้ต้องได้เสียง สว.เพิ่มเติมเพียง 60-61 เสียง เพื่อมีเสียงรัฐสภา 375-376 เสียง หรือเกินกึ่งหนึ่งของที่ประชุมรัฐสภา เพื่อผลักดันแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยคือนายเศรษฐา ทวีสิน
ขณะที่ในส่วนของเก้าอี้รัฐมนตรีของแต่ละพรรคการเมืองที่เข้ามาร่วมรัฐบาลนั้น ยังไม่มีการหารือว่าในสัดส่วนของพรรคการเมืองจะได้คนละกี่เก้าอี้ เพราะต้องเอาตัวเลขของพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดมาคำนวณ โดยจะนำจำนวน 315 เป็นตัวตั้ง หารด้วยเก้าอี้รัฐมนตรี 35 เก้าอี้ ตัวเลขเบื้องต้นน่าจะอยู่ที่ 8.9 เสียงต่อ 1 เก้าอี้ ทำให้อาจปัดเศษเป็น 9 ที่นั่ง ส.ส.เท่ากับ 1 เก้าอี้รัฐมนตรี และจะมีความชัดเจนว่าพรรคไหนได้กระทรวงใดหลังโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีเสร็จสิ้นแล้ว

เศรษฐามั่นใจได้รับเสียงสนับสนุน
ต่อมาเมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 11 สิงหาคม ที่สนามกีฬาบุณยะจินดา สโมสรตำรวจ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกระแสสนับสนุนและคัดค้านที่ออกมาช่วงนี้ ว่าเป็นธรรมดาตามระบอบประชาธิปไตยที่มีคนรักและมีคนชอบ
ส่วนที่กรรมาธิการจริยธรรมวุฒิสภา (สว.) รับเรื่องนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองตรวจสอบนั้น การเป็นนักการเมืองต้องตรวจสอบได้ ตนยืนยันในความบริสุทธิ์ เชื่อว่ากรรมาธิการจริยธรรมจะให้ความเป็นธรรมกับตน ส่วนเรื่องของนายชูวิทย์ ตนขออาศัยสิทธิตามกฎหมายที่จะต้องปกป้องสิทธิของตัวเอง
เมื่อถามว่า กังวลจะมีผลต่อเสียงสนับสนุนในรัฐสภาหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า หากพิสูจน์แล้วว่าได้ทำถูกต้องตามกฎหมาย คิดว่าจะได้รับความไว้วางใจ ส่วนการแสดงวิสัยทัศน์ต่อรัฐสภานั้น ตนไม่ได้เป็น สส. แต่หากได้รับเลือกแล้วคงต้องมีการชี้แจง
เมื่อถามว่า เสียง สส.ที่พรรค พท.รวมได้เป็นจำนวนมาก มั่นใจหรือไม่ว่าจะมีเสียง สว.เข้ามาเพิ่ม นายเศรษฐากล่าวว่า ตนว่าคณะเจรจากำลังเจรจาอยู่ มั่นใจว่าในสภาวะการเมืองที่ไม่ปกติ หวังว่าจะได้รับเสียงสนับสนุนจากทั้ง สว.และทุกพรรคการเมือง และหวังว่าจะได้เสียงตอบรับที่ดี
เมื่อถามว่า มั่นใจหรือไม่ว่าจะได้รับคะแนนเสียงในการได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีในครั้งเดียว นายเศรษฐากล่าวว่า ตนมีความมั่นใจ เพราะเชื่อในสิ่งที่ทำมา ตนมองว่าในช่วงสถานการณ์การเมืองที่ไม่ปกติ ที่พรรค พท.ได้รับไม้ต่อในการจัดตั้งรัฐบาล เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องรวบรวมเสียงให้พอ เพื่อเข้าไปมีอำนาจรัฐและจัดการปัญหาของบ้านเมือง

ขอบคุณเสียงสนับสนุนจากพลังประชารัฐ
เมื่อถามว่า ตอนนี้มีโผคณะรัฐมนตรี (ครม.) ออกมาแล้ว และถ้าได้เป็นนายกรัฐมนตรีจริง จะเป็นคนที่ต้องเลือกรัฐมนตรีเองหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า เรามีพรรคร่วมหลายพรรค ตนได้โหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรีก็คงมีส่วนร่วมในการพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาล
เมื่อถามว่า ตอนนี้เสียงสนับสนุนจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) จะมาช่วยยกมือสนับสนุน ถึงเวลานั้นจะสามารถทำงานร่วมกับพรรค 2 ลุงได้หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า อย่าเพึ่งคิดไปไกลขนาดนั้น
วันนี้เราได้มีการแถลงจับมือกับหลายพรรคไป จนมาถึงวันนี้ก็ถือว่าเป็นการพัฒนาในระดับที่ดีแล้ว และขอขอบคุณ สส.ทั้ง 40 คนของพรรค พปชร.ที่จะยกมือโหวตให้ เอาไว้ให้ผ่านการโหวตนายกรัฐมนตรีแล้วค่อยมาพูดคุยกันภายหลัง
เมื่อถามย้ำว่า ไม่ขัดใช่หรือไม่ที่จะทำงานร่วมกับ 2 ลุง นายเศรษฐากล่าวว่า ตนคิดว่าเอาเรื่องหลักการเป็นหลักดีกว่า ตนมองว่าเรื่องนโยบาย เรื่องของประชาชนและเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องใหญ่ที่เราต้องมาช่วยกัน
เมื่อถามว่า หากพูดเรื่องหลักการก่อนหน้านี้ที่บอกจะไม่ร่วมกับ 2 ลุง แต่ตอนนี้เหมือนจะปิดดีลกับ 2 ลุงได้แล้ว นายเศรษฐากล่าวว่า นอกเหนือจากพรรคที่ได้มีการแถลงข่าวไป ตนเองก็พูดได้แค่นี้ แต่อยากเชิญ สส.ที่มีเอกสิทธิ์ช่วยร่วมโหวตให้ผ่าน เสร็จแล้วค่อยมาว่ากันว่าจะทำอย่างไรต่อไป
