พรรคก้าวไกล มีมติ ขับ “ปดิพัทธ์” พ้นพรรค เพื่อทำหน้าที่ฝ่ายค้านเต็มที่

ปดิพัทธ์ สันติภาดา พรรคก้าวไกล

พรรคก้าวไกลมีมติขับ “หมออ๋อง” พ้นจากสมาชิกพรรค เปิดทาง “ชัยธวัช” เป็นผู้นำฝ่ายค้าน แก้ล็อกรัฐธรรมนูญ ขณะที่ “หมออ๋อง” มีเวลา 30 วันในการหาพรรคใหม่สังกัด

วันที่ 28 กันยายน 2566 พรรคก้าวไกล ออกแถลงการณ์กรณีให้ ปดิพัทธ์ สันติภาดา พ้นจากสมาชิกภาพ โดยระบุว่า “เรียนพี่น้องประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุดในประเทศ นับจากนี้ไปพรรคก้าวไกลจะมุ่งมั่นเดินหน้าทำงานเต็มที่ในฐานะ “ฝ่ายค้าน” เราจะทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอย่างตรงไปตรงมา พร้อมกับผลักดันวาระการเปลี่ยนแปลงที่ก้าวหน้า และเตรียมความพร้อมในการเป็นรัฐบาลที่ดีของประชาชนในการเลือกตั้งครั้งถัดไป

ในวันนี้ (28 ก.ย. 2566) คณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่และผู้แทนราษฎรของพรรคก้าวไกลจึงได้ประชุมร่วมกัน เพื่อวางแนวทางการทำงานที่รองรับเป้าหมายของพรรค ดังต่อไปนี้:

1.ที่ประชุมร่วมเห็นตรงกันว่า พรรคก้าวไกลควรเดินหน้าเป็น “ฝ่ายค้านโดยสมบูรณ์” ตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน โดยให้หัวหน้าพรรคคนใหม่ ชัยธวัช ตุลาธน รับตำแหน่ง “ผู้นำฝ่านค้านในสภาผู้แทนราษฎร” เพื่อกำกับทิศทางการทำหน้าที่ในสภาของฝ่ายค้าน

2.ที่ประชุมร่วมเข้าใจว่า การตัดสินใจดังกล่าวจะทำให้ สส.จากพรรคก้าวไกลไม่สามารถดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือรองประธานสภาผู้แทนราษฎรได้ ตามที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญ มาตรา 106

3.ที่ประชุมร่วมรับทราบจากหัวหน้าพรรคว่า ทางคณะกรรมการบริหารพรรคได้หารือประเด็นดังกล่าวกับปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคก้าวไกลแล้ว โดย ปดิพัทธ์ได้แสดงความประสงค์ว่าต้องการทำหน้าที่ในฐานะรองประธานสภาผู้แทนราษฎรต่อไป เพื่อผลักดันให้สภามีประสิทธิภาพ โปร่งใส และยึดโยงกับประชาชนมากขึ้น ตามนโยบายที่ได้แถลงไว้ก่อนหน้า รวมถึงเพื่อช่วยผลักดันให้กระบวนการตรวจรับอาคารรัฐสภา ซึ่งมีสัญญาก่อสร้างมูลค่ากว่า 12,000 ล้านบาท มีความโปร่งใส

Advertisment

4.ที่ประชุมร่วมเห็นด้วยว่าภารกิจที่ปดิพัทธ์ ตั้งใจขับเคลื่อนจะนำไปสู่การยกระดับการทำงานของสภา และเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน แต่ที่ประชุมร่วมยังคงยืนยันถึงความสำคัญของการทำหน้าที่เป็น “ฝ่ายค้านโดยสมบูรณ์” ซึ่งจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้หาก ปดิพัทธ์ยังคงดำรงสถานะเดิมในฐานะรองประธานสภา จากพรรคก้าวไกล

5.ที่ประชุมร่วมจึงมีมติว่า ในเมื่อปดิพัทธ์ยังคงยืนยันความประสงค์จะทำงานในฐานะรองประธานสภาต่อ พรรคก้าวไกลจึงจำเป็นต้องให้ปดิพัทธ์ออกจากการเป็นสมาชิกพรรคของพรรคก้าวไกล ตามบทบัญญัติแห่งข้อบังคับพรรคก้าวไกลและรัฐธรรมนูญ เพื่อให้พรรคก้าวไกลสามารถทำหน้าที่เป็น “ฝ่ายค้านโดยสมบูรณ์” ได้ อันเป็นเงื่อนไขที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการทำงานของพรรคหลังจากนี้

Advertisment

6.ที่ประชุมร่วมหวังว่า แม้ปดิพัทธ์จะไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคก้าวไกลอีกต่อไป แต่เขาจะยังขับเคลื่อนนโยบายตามที่ได้เคยให้คำมั่นสัญญาไว้ก่อนถูกรับเลือกโดยสภาผู้แทนราษฎร และต้องวางตนเป็นกลางต่อทุกพรรคการเมืองในการปฏิบัติหน้าที่ตามที่ถูกกำหนดในรัฐธรรมนูญ มาตรา 80

พรรคก้าวไกลขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกคนมาร่วมกับเราในการเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ไปด้วยกัน”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายปดิพัทธ์ได้นัดแถลงข่าวที่อาคารรัฐสภา เพื่อชี้แจงมติพรรคก้าวไกลดังกล่าว ในวันพรุ่งนี้ (29 ตุลาคม) ที่อาคารรัฐสภา อย่างก็ตาม หลังจากที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคได้มีมติขับนายปดิพัทธ์ออกจากการเป็นสมาชิกพรรคนั้น นายปดิพัทธ์ยังมีสถานะเป็น สส. และรองประธานสภาคนที่ 1 อยู่ต่อไป

เนื่องจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (9) คุ้มครอง สส.ที่ถูกขับพ้นพรรค จะต้องหาสังกัดใหม่ภายใน 30 วัน โดยมาตราดังกล่าวระบุว่า

“กรณีที่ สส.พ้นจากการเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองที่เป็นสมาชิก ตามมติของพรรคการเมืองนั้น ด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของที่ประชุมร่วมของคณะกรรมการบริหารพรรค และ สส.ที่สังกัดพรรคการเมืองนั้น

ถ้าหาก สส.คนที่ถูกขับพ้นพรรค ไม่ได้เข้าเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองอื่นภายใน 30 วันนับแต่วันที่พรรคมีมติ สส.คนนั้นจะสิ้นสุดสมาชิกภาพนับแต่วันที่พ้น 30 วันดังกล่าว ดังนั้น หาก สส.ที่ถูกขับออกจากพรรค รีบดำเนินการย้ายเข้าพรรคใหม่ภายใน 30 วันนับแต่วันที่พรรคมีมติขับออกจากพรรค สส.คนนั้นก็จะยังมีสถานะเป็น สส.ต่อไป ภายใต้สังกัดพรรคการเมืองใหม่”

โดยการขับ สส.พ้นพรรคเคยเกิดขึ้นมาแล้วก่อนหน้านี้ โดยที่ผู้ที่ถูกขับยังเป็น สส.และไปสังกัดอยู่กับพรรคการเมืองใหม่ อาทิ กลุ่มของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่ถูกขับจากพรรคพลังประชารัฐ ไปอยู่พรรคเศรษฐกิจไทย หรือกรณีงูเห่าอนาคตใหม่ 4 คน น.ส.ศรีนวล บุญลือ นายจารึก ศรีอ่อน พ.ต.ท.ฐนภัทร กิตติวงศา น.ส.กวินนาถ ตาคีย์ ที่ถูกขับออกจากพรรคอนาคตใหม่ และไปสังกัดอื่น อาทิ พรรคภูมิใจไทย เป็นต้น