เศรษฐา ยกระดับความร่วมมือไทย-จีน ชวนนักลงทุนร่วมพัฒนาแลนด์บริดจ์

เศรษฐา ประกาศพร้อมเดินคู่กับพี่ใหญ่จีนยกระดับความร่วมมือนำความรุ่งเรืองสู่ประเทศและภูมิภาคเอเชีย มั่นใจปี 2024 จีดีพีประเทศขยายตัวได้สูงกว่าปีที่ผ่านมา เชิญชวนนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวเมืองรอง มีธรรมชาติสวยงาม หลากหลายวัฒนธรรม ไม่ต่างจากเมืองใหญ่ ชวนนักลงทุนร่วมพัฒนาโปรเจ็กต์แลนด์บริดจ์ให้สัมฤทธิผลโดยเร็วที่สุด

วันที่ 19 ตุลาคม 2566 ที่โรงแรม Kerry นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ได้เข้าร่วมงาน Thailand-China Investment Forum จัดโดยคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (Board of Investment-BOI) นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก่อนอื่นในนามของรัฐบาลไทยตนขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุกราดยิงกันในพื้นที่ห้างสยามพารากอน

และขอเป็นกำลังใจให้แก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บทุกท่าน ตนขอให้ทุกท่านเชื่อมั่นว่าตนได้สั่งการให้หน่วยงานไทยที่เกี่ยวข้องดำเนินการอย่างเต็มที่ เพื่อให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อทุกท่านที่มาเยือน

สำหรับการเดินทางมาสาธารณรัฐประชาชนจีนครั้งนี้ ตนมีความยินดีอย่างยิ่งและขอขอบคุณสำหรับการต้อนรับอย่างอบอุ่น ไทยและจีนมีความสัมพันธ์กันมาอย่างยาวนาน ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม มีการแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรมระหว่างกันมาตั้งแต่อดีต และมีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่สืบเชื้อสายมาจากเชื้อชาติจีน โดยในปี 2023 ประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนจะครบรอบ 48 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต

ซึ่งที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีน ดำเนินมาอย่างราบรื่น มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างผู้นำระดับสูงมาตลอด และที่สำคัญยิ่งคือ การเสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนของพระบรมวงศานุวงศ์ของไทยที่มีมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างสองประเทศ

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เมื่อปีที่ผ่านมา ไทยและจีนครบรอบ 10 ปี ความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามและประกาศใช้แผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ไทย-จีน ฉบับที่ 4 (ปี 2022-2026) และแผนความร่วมมือระหว่างไทย-จีน ว่าด้วยการร่วมกันส่งเสริมเส้นทางเศรษฐกิจสายไหมและเส้นทางสายไหมทางทะเลแห่งศตวรรษที่ 21 อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ

เพื่อเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างกัน แสดงให้เห็นความมุ่งมั่นและตั้งใจของสองประเทศที่จะร่วมมือกันในระดับยุทธศาสตร์การเยือนประเทศจีนในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อเข้าร่วมการประชุม Belt and Road Forum for International Cooperation ครั้งที่ 3 ซึ่งข้อริเริ่ม Belt and Road Initiative (BRI)

เป็นนโยบายที่ก่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างประเทศในหลากหลายมิติ ทั้งด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และด้านวัฒนธรรม รวมถึงยังมีส่วนสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในกลุ่มอาเซียน ไม่ว่าจะเป็นทางบก ทางน้ำ หรือทางอากาศ และยังก่อให้เกิดการเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน และอำนวยประโยชน์ระหว่างประเทศที่ตั้งอยู่ตามแนวยุทธศาสตร์ดังกล่าว ซึ่งครอบคลุมพื้นที่กว่า 60 ประเทศ มีประชากรอยู่ในเส้นทางเชื่อมโยงประมาณ 4,400 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 63 ของประชากรโลก

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ประเทศไทยซึ่งเป็นศูนย์กลางของอาเซียนที่สามารถเชื่อมต่อกับเส้นทางภายใต้ BRI ทั้งทางบกและทางทะเล จึงตระหนักถึงโอกาสในการส่งเสริมความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ ตลอดจนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระหว่างประเทศไทยกับจีน ปัจจุบันไทยมีเส้นทางถนน R3A ซึ่งสามารถเชื่อมต่อการเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยังคุนหมิง ทางน้ำมีการเดินเรือในแม่น้ำโขง และการเดินเรือสมุทรระหว่างไทยกับจีน ส่วนทางอากาศก็มีเส้นทางบินตรงจากเมืองใหญ่หลายเมืองของจีนมายังประเทศไทยด้วย

ทั้งนี้ รัฐบาลไทยมีแผนจะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งทางถนน ทางน้ำ ทางราง และทางอากาศ เพื่อเพิ่มโอกาสด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ซึ่งจะยกระดับระบบคมนาคมขนส่งของไทย ก่อให้เกิดการกระจายความเจริญไปสู่ทุกภูมิภาคของประเทศ และสามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่หรือทรัพยากรได้อย่างเต็มศักยภาพ

จึงเป็นโอกาสดีที่ไทยและจีนจะยกระดับความร่วมมือในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น รัฐบาลไทยจะสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ระบบเศรษฐกิจ และจะสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน ว่าไทยมีบุคลากรที่มีศักยภาพ มีความพร้อม และความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ สำหรับการค้าและการลงทุน แขกผู้มีเกียรติทุกท่าน

นายเศรษฐากล่าวว่า ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจและสังคม และมีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด ทุกประเทศจึงจำเป็นต้องปรับตัวและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน ประเทศไทยเล็งเห็นถึงความสำคัญในการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ ได้แก่ การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล อุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง อุตสาหกรรมสีเขียว ปัญญาประดิษฐ์ การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม

โดยจะมีการลงทุนร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนา Startup ที่มีศักยภาพให้เติบโตและแข่งขันได้ในระดับโลก เพื่อให้เป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจและเป็นการยกระดับศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งจะเห็นได้ว่าการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ของไทยนั้นสอดคล้องกับนโยบาย Made in China 2025 ของจีน ซึ่งเปลี่ยนรูปแบบการผลิตโดยเน้นคุณภาพ มีการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

นายเศรษฐากล่าวว่า ในระดับภูมิภาค จีนและไทยได้ร่วมลงนามความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ซึ่งมีประเทศอาเซียน 10 ประเทศ และประเทศนอกอาเชียนอีก 5 ประเทศ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ความตกลงดังกล่าวเป็นสัญญาการค้าขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมประมาณร้อยละ 30 ของ GDP โลก ซึ่งจะทำให้ไทยได้รับสิทธิยกเว้นอากรหรือลดอัตราอากรศุลกากร

ดังนั้น การเข้ามาทำการค้าการลงทุนกับประเทศไทยจึงเป็นโอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากความตกลงดังกล่าว นอกจากความตกลง RCEP แล้ว จีนและไทยมีกรอบความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน ซึ่งส่งผลให้ภาษีสินค้านำเข้าเป็น 0 มากกว่าร้อยละ 90 ของรายการสินค้าทั้งหมด โดยตั้งเป้าในการปิดตลาดสินค้าเพิ่มเติมในหมวดสินค้าอ่อนไหว รวมถึงการเปิดเสรีและคุ้มครองการลงทุน ซึ่งคาดว่าการเจรจาจะแล้วเสร็จในปี 2024 เพื่อพัฒนาการเชื่อมโยงด้านเศรษฐกิจไปสู่การเป็นฐานการผลิตและตลาดเดียวกัน อันจะนำไปสู่โอกาสทางธุรกิจที่เปิดกว้างยิ่งขึ้น

นายเศรษฐากล่าวว่า ไทยมีที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ในอาเซียน โดยเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและโลจิสติกส์ของภูมิภาค การเข้ามาทำธุรกิจการค้าและการลงทุนกับไทย จึงไม่เพียงแค่รองรับประชากร 67 ล้านคนเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงประชากรกว่า 620 ล้านคนในอาเชียน และหากนับรวมความร่วมมือในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เช่น RCEPจะยิ่งส่งเสริมบทบาทไทยในฐานะจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญทางเศรษฐกิจของภูมิภาค ทั้งนี้ ไทยพร้อมมีบทบาทที่สร้างสรรค์ในการเสริมสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืนของภูมิภาค

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศ ขอย้ำว่าไทยพร้อมมีบทบาทเชิงรุกอย่างสร้างสรรค์ ได้กระชับความสัมพันธ์กับประเทศต่าง ๆ ให้แน่นแฟันยิ่งขึ้นผ่านการค้าและการลงทุน รัฐบาลไทยจะใช้ความร่วมมือระหว่างประเทศหรือข้อตกลงทวิภาคีและพหุภาคีในการส่งเสริมความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับมิตรประเทศ โดยยังยึดมั่นในการเสริมสร้างความสัมพันธ์บนพื้นฐานของการไว้วางใจ การให้เกียรติ และการเคารพซึ่งกันและกัน

“สำหรับภาพรวมด้านเศรษฐกิจของไทย ในปี 2022 ตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยเติบโตร้อยละ 3.4 ส่วนในปี 2023 แม้จะมีปัจจัยท้าทายจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก แต่ด้วยความพยายามของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยว (Nisa Free) และการผลักดันให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว เช่น การชักจูงการลงทุนจากบริษัทชั้นนำระดับโลก คาดว่าจะทำให้ GDP ของไทยในปี 2024ขยายตัวได้สูงกว่าปีที่ผ่าน ๆ มา” นายเศรษฐากล่าว

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในด้านการค้า จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของไทย ตัวเลขการค้าระหว่างไทย-จีนในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2023 มีมูลค่าประมาณ 5 แสนล้านหยวน และอยากเห็นการค้าไทย-จีนขยายตัวมากยิ่งขึ้น รวมถึงมีสินค้าจีนผ่านประเทศไทยไปยังที่อื่น ๆ ได้ด้วย โดยมีศักยภาพที่จะขยายขอบเขตและประเภทสินค้าได้อีกมาก และอยากให้ประเทศจีนซื้อสินค้าจากประเทศไทยมากขึ้นด้วย

นายเศรษฐากล่าวว่า ในด้านการลงทุนจากต่างประเทศ ตั้งแต่ปี 2018-เดือนกันยายน 2023ประเทศจีนเป็นผู้ลงทุนอันดับหนึ่งของไทย มูลค่าการลงทุนรวมมากกว่า 1 แสนล้านหยวน ส่วนใหญ่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะในกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย ที่ผ่านมามีค่ายรถยนต์ชั้นนำของจีนหลายแบรนด์เข้าไปตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลพร้อมที่จะช่วยอำนวยความสะดวกและดูแลนักลงทุนจีนเป็นอย่างดี

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐบาลไทย รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ โดยปรับปรุงขั้นตอนการขอวีซ่าและยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศเป้าหมาย

นอกจากนี้ ยังผลักดันการพัฒนาระบบบริหารจัดการการให้บริการ ได้แก่ การปรับปรุงระบบคมนาคมทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ โดยเฉพาะการปรับปรุงสนามบินและการจัดการเที่ยวบินทั่วประเทศเชื่อมโยงเมืองหลักและเมืองรองให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อีกทั้งจะเพิ่มปริมาณเที่ยวบินให้สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สำหรับนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวอันดับต้นของประเทศไทยนั้น ในช่วงเดือนมกราคม-สิงหาคม 2023 มีนักท่องเที่ยวจีนไปเยือนไทยแล้วประมาณ 2.2 ล้านคน ซึ่งไทยมีมาตรการยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยวให้แก่นักท่องเที่ยวจีนเป็นพิเศษตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยหวังว่านักท่องเที่ยวจีนจะเดินทางไปไทยมากขึ้นในช่วงปลายปีนี้ จนถึงช่วงเทศกาลตรุษจีนในต้นปีหน้าซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว โดยนอกเหนือจากการท่องเที่ยวในสถานที่โด่งดังของไทย เช่น กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ แล้ว

“ผมขอเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวจีนไปท่องเที่ยวในเมืองรองซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามและมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ผมขอย้ำว่าประเทศไทยมีความปลอดภัย และยินดีต้อนรับการเดินทางของทุกท่าน เราพร้อมดูแลและอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวจีนอย่างเต็มที่” นายเศรษฐากล่าว

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลไทยยังมีนโยบายสนับสนุนการสร้างพลังสร้างสรรค์หรือชอฟต์พาวเวอร์ เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้าและบริการ รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและสร้างความเชื่อมั่นของไทยต่อเวทีโลก โดยผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ของไทยสู่ระดับสากลด้วยการทูต ในเชิงวัฒนธรรม ยกระดับและพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของคนไทย สร้าง 1 ครอบครัว 1 ชอฟต์พาวเวอร์ ผ่านคอนเทนต์ 11 อุตสาหกรรม

อีกทั้งรัฐบาลไทยให้ความสำคัญคือ ความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไทยจึงต้องการพัฒนาและนำเทคโนโลยีไปใช้เพิ่มผลผลิตทางการเกษตร เปลี่ยนจากเกษตรกรให้กลายเป็นผู้ประกอบการ อีกทั้งยังเห็นถึงความจำเป็นที่ต้องมีส่วนร่วมในการลดภาวะโลกร้อน และสร้างเศรษฐกิจสีเขียว รวมถึงการส่งเสริมให้เกิดการเงินและการลงทุนสีเขียว

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลไทยมีแผนที่จะเสริมสร้างสังคมดิจิทัล โดยนำเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วยในการทำงาน ควบคู่ไปกับการสร้างเศรษฐกิจสีเขียว เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมีนโยบายเปิดรับแรงงานต่างชาติและกลุ่มผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศให้เข้ามาสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อตอบสนองความต้องการทรัพยากรบุคคลและแรงงานทั้งในภาคการผลิต การบริการ และการพัฒนาเทคโนโลยี

นายเศรษฐากล่าวว่า ด้านการศึกษา ประเทศจีนถือเป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมายของนักศึกษาไทยจำนวนมากที่มาศึกษาต่อ จึงหวังว่าจะผลักดันในการพัฒนาหลักสูตรความร่วมมือระหว่างโรงเรียนและมหาวิทยาลัยของประเทศไทยกับจีนให้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีความพร้อมสำหรับการพัฒนาการค้าการลงทุนร่วมกัน จึงขอเชิญชวนนักลงทุนและบุคลากรทักษะสูงจากจีน ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีเข้ามาดำเนินธุรกิจหรือทำงานในประเทศไทย

นายเศรษฐากล่าวว่า การเดินทางมาเยือนจีนครั้งนี้ นอกจากมีผู้แทนจากภาครัฐแล้ว ยังได้นำคณะนักธุรกิจไทยที่มีศักยภาพและสนใจจะสร้างเครือข่ายทางธุรกิจมาด้วย หวังว่างานสัมมนาในวันนี้จะมีส่วนช่วยเชื่อมโยงภาคเอกชนไทยและจีน กระตุ้นให้เห็นโอกาสด้านการค้า การลงทุน และสร้างพันธมิตรทางธุรกิจระหว่างกันมากยิ่งขึ้น รัฐบาลไทยมีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินการให้โครงการ Land Bridge เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อมโยงในภูมิภาค และเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางหลักของการขนส่งสินค้าและห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาคและระดับโลก

“ผมในฐานะผู้นำรัฐบาลไทย ขอให้ความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยมุ่งมั่นที่จะพัฒนาประเทศให้มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ มีความพร้อมในทุก ๆ ด้าน เพื่อที่จะสามารถส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมระหว่างไทยกับจีน พร้อมที่จะยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพราะความร่วมมือในมิติต่าง ๆ ไม่เพียงเอื้อประโยชน์ให้แก่สองประเทศเท่านั้น แต่จะช่วยส่งเสริมให้ภูมิภาคเอเชียก้าวสู่ความก้าวหน้าและรุ่งเรืองอย่างยั่งยืน

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ขอประกาศว่าประเทศไทยเปิดแล้ว เราพร้อมที่จะให้นักลงทุนจีนเข้ามาร่วมพัฒนาประเทศ และรัฐบาลพร้อมที่จะนำนักลงทุนไทยออกมาร่วมกับรัฐบาล เพื่อมาเชื้อเชิญนักลงทุนจีนและนักลงทุนอีกหลายประเทศ เพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยไปจนถึงจุดที่ควรมีศักยภาพ

และเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมารัฐบาลได้มีการอนุมัติให้ศึกษาโครงการแลนด์บริดจ์เชื่อมต่อระหว่างอันดามันกับอ่าวไทย มีระยะทางประมาณ 90 กิโลเมตร โดยจะเชื่อมต่อโดยรถไฟ การลงทุนจะอยู่ที่ประมาณ 1.3 ล้านล้านบาท ซึ่งถือเป็นการลงทุนที่สูงมาก และจะเป็นเมกะโปรเจ็กต์ระดับโลก จะย่นระยะการเดินทางที่ต้องขนถ่ายสินค้าผ่านช่องแคบมะละกาลงได้ 6-9 วัน

ซึ่งในอนาคตช่องแคบมะละกาจะมีความหนาแน่นในเรื่องการขนถ่ายสินค้าธุรกิจอยู่มาก การที่ไทยมีดำริเริ่มทำแลนด์บริดจ์ตรงนี้ จะเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนทั่วโลก ไม่ใช่แค่จะเอาเมืองไทยเป็นทางผ่านของสินค้าเพียงอย่างเดียว การสร้างฐานผลิตที่เมืองไทยพร้อมไปกับโครงการแลนด์บริดจ์ที่จะเป็นเมกะโปรเจ็กต์ระดับโลก จะทำให้นักลงทุนจากทั่วโลกมีความมั่นใจที่จะเข้ามาสร้างฐานการผลิตที่เมืองไทย

“วันนี้ผมขอเชื้อเชิญนักลงทุนจากประเทศจีนเข้ามาดูโปรเจ็กต์นี้ มาร่วมกันพัฒนาและพูดคุยเพื่อที่จะทำให้โครงการนี้สำเร็จ สัมฤทธิผลโดยเร็วที่สุด วันนี้ประเทศไทยภายใต้การนำของรัฐบาลนี้เปิดกว้างสำหรับการลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนจากจีนซึ่งถือเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุด” นายเศรษฐากล่าว

นายกฯ ยังกล่าวอีกว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมารัฐบาลพร้อมทำงานให้เกิดความสะดวกในการทำธุรกิจ เราจะมีคณะกรรมการเข้ามาที่จะทำให้เกิดความง่ายในการทำธุรกิจ มีความสะดวกสบายขึ้น จะไม่ใช่เป็นแค่วาทกรรมเฉย ๆ ที่สัญญาว่าจะทำให้การทำธุรกิจง่ายขึ้น แต่จะเป็นการทำให้มันง่ายขึ้นจริง ๆ นำความสะดวกสบายยึดหลักธรรมาภิบาล ทำให้นักธุรกิจสามารถเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยได้อย่างกว้างขวาง

“และผมเชื่อมั่นว่าหลายท่านที่อยู่ในที่ประชุมแห่งนี้มีเชื้อสายจีน รวมถึงตัวผมเองกว่าครึ่งหนึ่ง เราเป็นพี่น้องกัน เรามาทำค้าขายกัน เรามีมิตรไมตรีที่ดีให้ต่อกันมาโดยตลอด ประเทศไทยแม้เป็นประเทศที่เล็กแต่มีศักยภาพสูง เราเป็นน้องคนหนึ่งของประเทศจีน ซึ่งจะช่วยกันเดินไปข้างหน้าควบคู่ไปกับพี่ใหญ่ ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในเวทีโลก เราขอร่วมเดินทางไปกับประเทศจีนบนเส้นทางที่ท้าทาย และทำให้โลกของเราเจริญรุ่งเรืองต่อไป” นายกรัฐมนตรีกล่าว