เศรษฐา ชู ความยั่งยืน-เทคโนโลยี-แลนด์บริดจ์ ใน APEC CEO Summit

เศรษฐา ทวีสิน

 นายกฯ กล่าวบนเวทีสุดยอดผู้นำภาคเอกชนของเอเปค (APEC CEO Summit 2023) ชู 3 ด้าน “ความยั่งยืน-เทคโนโลยีการค้า-การลงทุน ดึงดูดลงทุน จับมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

วันที่ 16 พฤศจิกายน 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 15 พฤศจิกายน 2566 ตามเวลาท้องถิ่นนครซานฟรานซิสโก ช้ากว่ากรุงเทพฯ 15 ชั่วโมง ที่ Summit Hall ศูนย์การประชุมมอสโคนี ฝั่งตะวันตก (Moscone Center) (West) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวปาฐกถาในการประชุมสุดยอดผู้นำภาคเอกชนของเอเปค (APEC CEO Summit 2023) ในห้วงสัปดาห์การประชุมผู้นําเขตเศรษฐกิจเอเปค (APEC Economic Leaders’ Week : AELW) ประจําปี 2566

เศรษฐา ทวีสิน

นายเศรษฐากล่าวว่า ประเทศไทยพร้อมร่วมมือทางธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยบรรยากาศทางการเมืองที่มีเสถียรภาพ รัฐบาลกำลังผลักดันอย่างเต็มที่ผ่านนโยบายทางเศรษฐกิจ ที่จะมีการบังคับใช้อย่างจริงจัง โดยให้ความสำคัญกับการขยายการเติบโต กระตุ้นความสามารถในการแข่งขัน และยกระดับตำแหน่งของประเทศในฐานะจุดหมายปลายทางที่โดดเด่นสำหรับการค้าและการลงทุน

การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยและดึงดูดการลงทุน ส่งเสริมนวัตกรรมและความเป็นผู้ประกอบการ และต้องส่งเสริมความร่วมมือเพื่อการเติบโตและการพัฒนาที่ยั่งยืนด้วย จึงถึงเวลาที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย และไทยพร้อมที่จะทำงานร่วมกับพันธมิตรทุกรายจากทั่วโลก เพื่อพบปะและพูดคุยกับผู้นำธุรกิจ APEC ที่โดดเด่นจากทั่วภูมิภาค ถือเป็นผู้ขับเคลื่อนที่สำคัญทางเศรษฐกิจ

เอเปคถือเป็นภาคส่วนที่ทรงพลัง เป็นที่ตั้งของประชากรมากกว่าหนึ่งในสามของโลก สามารถสร้างการค้าเกือบครึ่งหนึ่งของโลก ช่วงหลายปีที่ผ่านมา เอเปคประสบความสำเร็จในการช่วยให้ผู้คนหลายล้านคนหลุดพ้นจากความยากจน ด้วยการเปิดการค้าและการลงทุน ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวเกิดจากความร่วมมือกับชุมชนธุรกิจ ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะกับ ABAC ถือเป็นความพิเศษและเป็นรากฐานความสำเร็จร่วมกัน

นายเศรษฐากล่าวว่า ขอเน้นย้ำ 3 ด้าน สำคัญ ดังนี้ ด้านความยั่งยืน ไทยมีเป้าหมายกรุงเทพฯว่าด้วยเศรษฐกิจ BCG (Bangkok Goals on BCG Economy) ที่ผู้นำเอเปคทุกคนได้นำมาใช้เมื่อปี 2565 ถือเป็นแนวทางที่จำเป็นและยินดีที่มีบทบาทนำต่อเอกสารสำคัญฉบับนี้ ในปีนี้สหรัฐอเมริกา ในฐานะเจ้าภาพเอเปค ได้สานต่อทำให้การบรรลุเป้าหมายกรุงเทพฯประสบความสำเร็จและมีความสำคัญสูงสุด

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดตัว BCG Pledge โดย ABAC ที่กระตุ้นให้ทุกบริษัทต้องลงนามและมีส่วนร่วม และยินดีที่ได้ทราบว่า NCAPEC (National Center for APEC) ได้จัดการประชุม Sustainable Future Forum ขึ้นเป็นครั้งแรก และหวังว่าจะมีความก้าวหน้าที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นต่อไปในอนาคต

ทั้งนี้ ไทยมีความภาคภูมิใจในความพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะสร้างความยั่งยืน ซึ่งปี 2566 นี้ ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 43 ของ SDG Index ที่หนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงมุ่งมั่นที่จะต่อยอดด้วยการพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียวและการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น

ขณะเดียวกัน จะเพิ่มความพยายามเป็นสองเท่าเพื่อให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ. 2050 และทำให้การปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2065 และด้วยเหตุนี้ไทยจึงส่งเสริมด้านการเงินสีเขียวอย่างแข็งขัน ผ่านการออกพันธบัตร พันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainability-Linked Bonds) เพื่อกระตุ้นการเติบโตของตลาดพันธบัตรสีเขียว

ขณะเดียวกัน สนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าด้วย เป้าหมายคือการสร้างห่วงโซ่อุปทานของ EV ที่ครอบคลุม ซึ่งรวมถึงยานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภท ชิ้นส่วน และส่วนประกอบทั้งหมด นอกจากนี้ จะปรับปรุงระบบนิเวศเพื่อสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้กับธุรกิจดังกล่าว เช่น การให้สิทธิพิเศษการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ การสร้างศูนย์ทดสอบแบตเตอรี่ หลักสูตรการพัฒนาแรงงาน และการขยายโครงสร้างพื้นฐานสถานีชาร์จ เป็นต้น

ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม การเกิดขึ้นของเทคโนโลยี เช่น generative AI, Blockchain และ Internet of Things (IoT) กำลังเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางธุรกิจ กระบวนการผลิต และชีวิตประจำวัน ซึ่งความก้าวหน้าเหล่านี้นำมาซึ่งโอกาสใหม่ ๆ สำหรับการเติบโต การร่วมมือและแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพื่อให้ทุกเขตเศรษฐกิจ

โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนา สามารถเข้าถึงโอกาสได้ และเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อย่างเท่าเทียม ขณะเดียวกัน ต้องลงทุนและปรับปรุงระบบการศึกษาเพื่อให้พลเมืองมีทักษะที่จำเป็นต่อการเติบโตในยุคดิจิทัลที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว รวมทั้งการทำงานร่วมกันอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นในด้านวิทยาศาสตร์ประยุกต์และการวิจัยระดับแนวหน้าเพื่อปูทางไปสู่ความก้าวหน้าในอนาคต

โดยในประเทศไทย รัฐบาลกำลังวางแผนที่จะใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อดำเนินโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัล (Digital Wallet) ซึ่งสิ่งนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศของเราเท่านั้น แต่ยังจะยกระดับการรับรู้และทักษะด้านดิจิทัลอีกด้วย โดยในระยะยาว รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลดิจิทัล ส่งเสริมการทำงานร่วมกัน เพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของบริการสาธารณะของประเทศ รวมทั้งพร้อมจะต้อนรับการลงทุนและแรงงานที่มีทักษะเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมดิจิทัล

ด้านการค้าและการลงทุน เอเปคมีบทบาทสำคัญในการขยายการค้าและการลงทุนภายในภูมิภาค ซึ่งจะช่วยยกระดับความเป็นอยู่ของผู้คนนับล้าน ซึ่งตัวเลขสะท้อนเป็นผลในตลอดหลายปีที่ผ่านมา การค้าทั่วทั้ง APEC เพิ่มขึ้นเกือบสี่เท่าภายในสองทศวรรษ จาก 7.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปี ค.ศ. 2001 เป็นจำนวนกว่า 27 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปี ค.ศ. 2021

ซึ่งเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก (FTAAP) ยังคงเป็นปณิธานที่สำคัญ และจะทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย รวมทั้งการเร่งสถาปัตยกรรมการค้าทวิภาคีและภูมิภาคอื่น ๆ เพื่อสร้างพันธมิตรใหม่ และไทยจะยกระดับ FTA เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายใหม่ ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น เพื่อเสริมสร้างการเชื่อมโยงระหว่างเศรษฐกิจร่วมกัน ขณะเดียวกัน ได้เปิดโอกาสทางการค้าและการลงทุนใหม่ ๆ ให้กับพันธมิตรของเราอีกด้วย

ไทยตระหนักถึงความจำเป็นในการรักษาห่วงโซ่อุปทานให้เปิดกว้างและยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยให้ความสำคัญกับการปรับปรุงการเชื่อมต่อทางกายภาพและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งรวมถึงการพัฒนาสนามบินหลายแห่งทั่วทั้งเขตเศรษฐกิจของเรา นอกจากนี้ จะใช้ประโยชน์จากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ในภูมิภาคนี้อย่างเต็มที่

และกำลังดำเนินโครงการขนาดใหญ่เพื่อพัฒนาสะพานข้ามทะเล เพื่อเชื่อมต่อทะเลอันดามันกับอ่าวไทย (Landbridge) ซึ่งจะช่วยลดเวลาการเดินทางระหว่างมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าและโลจิสติกส์ระดับภูมิภาคภายในทศวรรษนี้

นายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพบปะกับคู่ค้าทางธุรกิจระหว่างการเยือนต่างประเทศ ซึ่งจะนำทีมผู้นำธุรกิจจากประเทศไทย เพื่อสร้างเครือข่ายและการจับคู่ธุรกิจเพิ่มเติมที่นครซานฟรานซิสโก พร้อมมีความยินดีที่จะทำงานร่วมกันและสร้างความก้าวหน้าที่มีความหมายต่อไปสำหรับผู้คนในปัจจุบันและรุ่นต่อ ๆ ไป โดยเน้นย้ำว่า “ถึงเวลาแล้วที่จะลงทุนในประเทศไทยให้มากขึ้น” ซึ่งไทยพร้อมก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและจะขยายความร่วมมือร่วมกันต่อไป

จากนั้นนายกฯเยี่ยมชมบูทของ Microsoft และ Boeing ที่จัดแสดงภายศูนย์ประชุมมอสโคนีเซ็นเตอร์