โพลพระปกเกล้า เผยถ้าเลือกตั้งวันนี้ ก้าวไกลได้ สส. 208 ที่นั่ง-พิธานายกฯ

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์

ผลสำรวจสถาบันพระปกเกล้า 1 ปีหลังเลือกตั้ง เผยก้าวไกลคะแนนนิยมเพิ่ม ถ้าหย่อนบัตรวันนี้ได้ สส. 208 ที่นั่ง ส่วนเพื่อไทยลดเหลือ 105 ที่นั่ง หนุนพิธานายกฯ รองลงมา พล.อ.ประยุทธ์ และแพทองธาร 

วันที่ 26 พฤษภาคม 2566 สถาบันพระปกเกล้า โดย สำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย ร่วมกับ สำนักส่งเสริมการเมืองภาคพลเมือง และศูนย์พัฒนาการเมืองภาคพลเมือง 76 จังหวัด เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “ความนิยมในพรรคการเมืองและนายกรัฐมนตรี : 1 ปีหลังการเลือกตั้ง 14 พฤษภาฯ 2566” จำนวน 1,620 ตัวอย่าง เก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 7-18 พฤษภาคม 2567 ใช้วิธีการสัมภาษณ์ตามแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง (อายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป) ที่ได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ (stratified random sampling) ในทุกจังหวัด รวมทั้งกรุงเทพมหานคร 

เมื่อสอบถามกลุ่มตัวอย่างว่า “ถ้ามีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ท่านจะลงคะแนนเลือกผู้สมัครจากพรรคการเมืองใดในการเลือกตั้ง สส.แบบแบ่งเขต” ผู้ตอบร้อยละ 35.7 ระบุว่า จะลงคะแนนเลือกผู้สมัครจากพรรคก้าวไกล 

รองลงมาระบุว่า จะลงคะแนนเลือกผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย คิดเป็นร้อยละ 18.1 ผู้สมัครจากพรรคภูมิใจไทย ร้อยละ 11.2 ผู้สมัครจากพรรครวมไทยสร้างชาติ ร้อยละ 9.2 ผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐ ร้อยละ 7.8 ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 5 ผู้สมัครจากพรรคชาติไทยพัฒนา ร้อยละ 1.6 ผู้สมัครจากพรรคประชาชาติ ร้อยละ 1.2 ตามลำดับ ขณะที่มีผู้ตอบแบบสอบถามที่ระบุว่าจะลงคะแนนให้ผู้สมัครจากพรรคอื่น ๆ หรือยังไม่ตัดสินใจเลือกใครในตอนนี้ รวมกันอีกร้อยละ 10.2 

เมื่อสอบถามต่อว่า “แล้วในการเลือกตั้ง สส.แบบบัญชีรายชื่อ ถ้ามีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ท่านจะลงคะแนนให้แก่บัญชีรายชื่อของพรรคใด” ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 44.9 ระบุว่า จะลงคะแนนให้พรรคก้าวไกล 

Advertisment

รองลงมาระบุว่า จะลงคะแนนให้พรรคเพื่อไทย คิดเป็นร้อยละ 20.2 พรรครวมไทยสร้างชาติ ร้อยละ 10.9 พรรคภูมิใจไทย ร้อยละ 3.5 พรรคพลังประชารัฐและพรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 3 พรรคประชาชาติ ร้อยละ 1.3 และพรรคชาติไทยพัฒนา ร้อยละ 0.7 ตามลำดับ 

นอกจากนี้ น่าสนใจว่า ยังมีผู้ตอบที่ระบุว่าจะลงคะแนนให้พรรคการเมืองอื่น ๆ หรือไม่ต้องการลงคะแนนให้พรรคใดเลยในตอนนี้ รวมกันถึงร้อยละ 12.6 

เมื่อนำผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในครั้งนี้เปรียบเทียบกับผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ปรากฏว่า พรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนนิยมจากประชาชนในการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเพิ่มขึ้นมี 2 พรรคคือ พรรคก้าวไกล และพรรคประชาชาติ 

โดยพรรคก้าวไกลได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 9.67 ซึ่งอาจส่งผลให้พรรคมีโอกาสชนะการเลือกตั้งและได้ สส.เพิ่มขึ้นถึง 49 ที่นั่ง 

Advertisment

ส่วนพรรคประชาชาติได้รับคะแนนนิยมจากประชาชนเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 0.35 ซึ่งอาจทำให้พรรคมีโอกาสชนะการเลือกตั้งและได้ สส. เพิ่มขึ้น 1 ที่นั่ง 

ขณะที่มีพรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนนิยมจากประชาชนในการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตลดลง จำนวน 6 พรรค ได้แก่ พรรคเพื่อไทย ได้รับคะแนนนิยมลดลง ร้อยละ 7 และอาจส่งผลให้พรรคมีโอกาสเสียที่นั่งที่มีอยู่เดิมไปราว 28 ที่นั่ง พรรคพลังประชารัฐ คะแนนนิยมลดลง ร้อยละ 3.41 มีโอกาสเสียที่นั่ง 11 ที่นั่ง พรรคภูมิใจไทย คะแนนนิยมลดลง ร้อยละ 2.64 มีโอกาสเสียที่นั่ง 10 ที่นั่ง 

และ พรรคประชาธิปัตย์ คะแนนนิยมลดลง ร้อยละ 1.13 มีโอกาสเสียที่นั่ง 3 ที่นั่ง อย่างไรก็ตาม สำหรับพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ได้รับคะแนนนิยมลดลง ร้อยละ 0.47 และพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ได้รับคะแนนนิยมลดลง ร้อยละ 0.02 นั้น คะแนนนิยมที่ลดลงดังกล่าวยังไม่มากพอที่จะส่งผลให้พรรคการเมืองทั้งสองมีที่นั่งลดลง 

ส่วนของการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบพบว่า มีพรรคการเมือง 5 พรรคได้รับคะแนนนิยมจากประชาชนเพิ่มขึ้นคือ พรรคก้าวไกล ได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 8.33 พรรคพลังประชารัฐ ได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น ร้อยละ 1.62 พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น ร้อยละ 0.66 พรรคภูมิใจไทย ได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น ร้อยละ 0.6 

และพรรคชาติไทยพัฒนา ได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น ร้อยละ 0.19 อย่างไรก็ตาม คะแนนนิยมที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวส่งผลให้พรรคก้าวไกลมีโอกาสได้ที่นั่งเพิ่มขึ้น 8 ที่นั่ง และพรรคพลังประชารัฐมีโอกาสได้ที่นั่งเพิ่มขึ้น 1 ที่นั่ง เพียงสองพรรคเท่านั้น 

ส่วนคะแนนที่เพิ่มขึ้นของอีกสามพรรคยังไม่มากพอที่จะทำให้ได้ที่นั่งเพิ่ม ขณะที่มีพรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนนิยมจากประชาชนในการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อลดลง จำนวน 3 พรรคคือ พรรคเพื่อไทย ได้รับคะแนนนิยมลดลง คิดเป็นร้อยละ 7.49 พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 1.18 และพรรคประชาชาติ ได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 0.24 คะแนนนิยมที่ลดลงดังกล่าวมีผลให้พรรคเพื่อไทยมีโอกาสได้ที่นั่งจากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อน้อยลง 8 ที่นั่ง 

พรรครวมไทยสร้างชาติ มีโอกาสได้น้อยลง 2 ที่นั่ง และ พรรคประชาชาติ มีโอกาสได้ที่นั่งน้อยลง 1 ที่นั่งตามลำดับ เมื่อนำตัวเลขประมาณการที่นั่งที่พรรคการเมืองแต่ละพรรคมีโอกาสได้รับจากการเลือกตั้งทั้งสองระบบมารวมกันพบว่า 

หากมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในช่วงเวลานี้ พรรคก้าวไกล เป็นพรรคที่มีโอกาสได้ที่นั่งมากที่สุด รวม 208 ที่นั่ง รองลงมาเป็น พรรคเพื่อไทย 105 ที่นั่ง พรรคภูมิใจไทย 61 ที่นั่ง พรรครวมไทยสร้างชาติ 34 ที่นั่ง พรรคพลังประชารัฐ 30 ที่นั่ง พรรคประชาธิปัตย์ 22 ที่นั่ง พรรคชาติไทยพัฒนา 10 ที่นั่ง และ พรรคประชาชาติ 9 ที่นั่ง ตามลำดับ ส่วนที่นั่งที่เหลือจะกระจายไปยังพรรคการเมืองอื่น ๆ รวม 21 ที่นั่ง 

เมื่อสอบถามว่า “ถ้าเลือกได้ ท่านอยากให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยในช่วงเวลานี้มากที่สุด” ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ ระบุว่า อยากให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 46.9 รองลงมาระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ร้อยละ 17.7 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ร้อยละ 10.5 นายเศรษฐา ทวีสิน ร้อยละ 8.7 นายอนุทิน ชาญวีรกูล ร้อยละ 3.3 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ร้อยละ 1.7 และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ร้อยละ 0.4 ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังมีผู้ตอบที่ระบุชื่อคนอื่น ๆ รวมกับที่ยังไม่เห็นว่ามีคนที่เหมาะสมอีก ร้อยละ 10.9