คณะทำงานนายกฯ ด้านการลงทุนระหว่างประเทศ ย้ำนายกฯกำชับใส่ใจการบริหารตลาดเกษตร แก้เหลื่อมล้ำ-มั่นใจราคาสินค้าเกษตรจะดีขึ้นโดยไม่กระทบผู้บริโภค-ยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรได้
วันที่ 13 สิงหาคม 2567 นายศุภกร คงสมจิตต์ คณะทำงานของนายกรัฐมนตรี ด้านการลงทุนระหว่างประเทศ กล่าวถึงปัญหาราคาสินค้าด้านเกษตรว่า ไม่ใช่มีเพียงการแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ หรือพุ่งสูง แต่ยังจำเป็นจะต้องช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำให้กับเกษตรกรด้วย ซึ่งที่ผ่านมานายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้กำชับเรื่องการใส่ใจในการบริหารตลาด เพื่อทำให้ราคาพืชผลดี จนมีเสียงสะท้อนตามมาว่า หากเกษตรกรรายได้ดี อาจทำให้ผู้คนมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะราคาสินค้าเกษตรต่าง ๆ ในตลาดไม่ได้สูงขึ้น
แต่เกษตรกรสามารถขายของได้ราคาสูงขึ้น เช่น ข้าวขายได้ราคาขึ้นในรอบหลายปีที่ผ่านมา รวมถึงยางดิบ และจะต้องจับตาราคาข้าวโพด, มันสำปะหลัง, ลำไย, มังคุด, เงาะ, กระเทียม, หอมใหญ่, หอมแดง, พริก, สับปะรด ฯลฯ ซึ่งหากเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น 20-50% ก็เสมือนได้โบนัส 2-6 เดือนต่อรอบการเก็บเกี่ยว และประเทศไทย มีประชาชนอยู่ในภาคการเกษตรเกือบ 40 ล้านคน หากทุกคนรายได้ดีขึ้น พร้อม ๆ กัน โดยที่คนจำนวนมากก็พอใจด้วย ก็จะเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย
ส่วนสาเหตุที่เมื่อเกษตรกรขายของแพงขึ้น แต่ราคาที่ผู้คนซื้อไม่ได้สูงขึ้นด้วยนั้น นายศุภกรระบุว่า เป็นส่วนต่างที่เป็นกำไรของพ่อค้าคนกลาง ซึ่งเมื่อราคาส่วนต่างลดลง กำไรของคนกลางก็จะลดลง จนค่อย ๆ ลดลงกลับไป และในต่างจังหวัดหลาย ๆ ที่คนเหล่านี้ก็เป็นคนที่ปล่อยกู้นอกระบบ ขายปุ๋ย เงินเชื่อ ซึ่งเกษตรกรต้องไปกราบไหว้ขอโอกาส เพื่อมาเลี้ยงชีพให้ผ่านไปแต่ละฤดูกาล แต่หากเกษตรกรมีรายได้มากยิ่งขึ้น ก็จะสามารถจ่ายหนี้ได้ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างนายทุน-เกษตรกรเปลี่ยนไป ความเกรงกลัวการทวงหนี้ก็จะลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ และความเหลื่อมล้ำก็จะลดลง
นายศุภกรยังมั่นใจว่า จากราคาผลผลิตที่ดีขึ้นนี้ กำลังจะทำให้เกษตรกรไทยได้โบนัส และสามารถนำเงินไปปลดหนี้ได้ ความเหลื่อมล้ำจากการเป็นหนี้ ความเกรงกลัวต่อเจ้าหนี้ต่าง ๆ ก็จะค่อย ๆ ลดลง เกษตรกรจะยกระดับความเป็นอยู่ได้ สามารถนำเวลาและทรัพยากรที่มี ไปพัฒนาความรู้ความสามารถให้กับตนเองและครอบครัวได้มากขึ้น