
คอลัมน์ : Politics policy people forum
การเมืองเคลื่อนเข้าสู่ภาวะเสี่ยงแตกหักเข้าไปทุกขณะ
เพราะมีไฟต์บังคับของพรรคเพื่อไทยที่ต้องการยึดกระทรวงมหาดไทยจากพรรคภูมิใจไทย
การตั้งท่าปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) แพทองธาร 1/1 ที่คาดว่าจะจบไม่เกินสิ้นเดือนมิถุนายน อาจถึงเวลา “นับถอยหลัง” ของรัฐบาล
เพราะพรรคภูมิใจไทย โดย “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย เคยลั่นวาจาต่อสาธารณะไว้แล้วว่า “หากผมอยู่ (ในรัฐบาล) ก็ครบวาระ”
แต่การที่พรรคเพื่อไทย “เคลื่อนกำลัง” บีบพรรคภูมิใจไทยขั้นสุด เพื่อยึดมหาดไทยคืนมา อาจถึงจุดสิ้นสุดทางเพื่อนร่วมรัฐบาล
มีแต่ข่าวร้ายไม่มีข่าวดี
และในจังหวะที่รัฐบาลจะปรับ ครม. กลับซ้ำเติมด้วยสถานการณ์ทางการเมืองของรัฐบาลที่ ณ นาทีนี้ล้วนมีแต่ข่าวร้าย-ไร้ข่าวดี สนับสนุน
ทั้งปัญหาพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งทีท่าของรัฐบาลที่ตอบสนองต่อสถานการณ์เป็นรองฝ่ายกัมพูชา ปมนี้กลายเป็นตำบลกระสุนตก ขาดทุนทางการเมืองมากยิ่งกว่ามาก
สวนทางกับบริบทการเมืองของพรรคภูมิใจไทย โดย “อนุทิน” ลงไปสร้างเรตติ้งในพื้นที่กับชาวบ้านและทหาร เพื่อกวาดคะแนนทางการเมือง ที่สำคัญเกมยืดเยื้อชายแดนไทย-กัมพูชา ยังส่งผลสะเทือนต่อเศรษฐกิจไทยตามชายแดนไม่แพ้ฝ่ายกัมพูชา
คดีชั้น 14 ของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เรียกไต่สวนพยานกว่า 20 ปาก ทีมกฎหมายเพื่อไทยอ่านปฏิกิริยาและบริบทการเมืองมองว่างานนี้นายใหญ่เหนื่อย
ปมภาษีนำเข้าสหรัฐอเมริกา กำหนดสินค้านำเข้าจากประเทศไทยต้องเสียภาษีนำเข้า 36% บวกภาษีพื้นฐานอีก 10% จะครบเส้นตาย เข้าสู่โซนอันตราย
เกมฮั้ว สว.ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ผนึกกับอนุกรรมการไต่สวนฯ ของ กกต. เรียกบิ๊กเนมของพรรคภูมิใจไทย ระดับใหญ่ที่สุดคือ “อนุทิน” และยังกินไปถึง “เนวิน ชิดชอบ” ครูใหญ่แห่งภูมิใจไทย พ่วงกรรมการบริหารพรรคแบบครบเซต
เป็นอีกเกมที่สู้กัน “แตกหัก” เมื่อผูกโยงกับกระแสการปรับ ครม. ยึดกระทรวงมหาดไทย “อนุทิน” มองว่า “ถ้าจะมองให้เกี่ยวข้อง ก็เกี่ยวกันหมด ก็ไม่มีปัญหาอะไร เรื่องที่เกี่ยวข้องทางกฎหมายก็ทำตามกฎหมายไป เราไม่ได้ทำผิดอะไร จะไปกลัวอะไร จะไปห้ามให้คนไม่กล่าวหาเราก็ห้ามไม่ได้ เพราะอาจมีวัตถุประสงค์อะไรไม่สามารถทราบได้ แต่ตัวเราเองต้องมีความพร้อม ถ้าเรื่องไหนเราทำผิด ถ้าแก้ไขไม่ได้ก็ต้องรับผิดไป แต่ถ้าเรื่องไหนไม่ผิด ทำอย่างไรก็ไม่ผิด ซึ่งเรื่องเหล่านี้ก็ต้องมีการพิสูจน์”
3 สูตร เสียงในสภา
เมื่อเปิดจำนวนเสียงในสภาหากพรรคเพื่อไทยยึดพรรคภูมิใจไทย จะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาลแค่ไหน มองได้ 3 สูตร
โดยวิเคราะห์จากเสียง สส.ในสภา 495 คน ข้อมูล ณ 28 พฤษภาคม ในการโหวตรับหลักการร่างกฎหมายงบประมาณ 2569 โดยยังไม่นับรวมกลุ่มมะขามหวาน ของ “สันติ พร้อมพัฒน์” จากพรรคพลังประชารัฐ 6 เสียง ที่มีข่าวว่าจะร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทย แต่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ยืนยันยังไม่ย้ายพรรค
สูตรที่หนึ่ง พรรคเพื่อไทย-พรรคภูมิใจไทย ตกลงกันได้ บนสมการการเมืองไม่เปลี่ยน รัฐบาลจะมีเสียง 330 เสียง ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย 142 เสียง พรรคภูมิใจไทย 69 เสียง พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง พรรคกล้าธรรม 26 เสียง พรรคประชาธิปัตย์ 25 เสียง พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง พรรคประชาชาติ 9 เสียง พรรคชาติพัฒนา 3 เสียง ไทยรวมพลัง 2 เสียง พรรคประชาธิปไตยใหม่ 1 เสียง เสรีรวมไทย 1 เสียง
มี “งูเห่า” แปรพักตร์ชัดเจนจากไทยสร้างไทย 5 เสียง (3 เสียงกล้าธรรม 2 เสียงภูมิใจไทย) และพรรคประชาชน 1 เสียง
ขณะที่พรรคฝ่ายค้านมีอยู่ 165 เสียง ประกอบด้วย พรรคประชาชน 142 เสียง (อยู่พรรคกล้าธรรม 1 เสียง) พรรคพลังประชารัฐ 20 เสียง พรรคไทยสร้างไทย 1 เสียง (หายไปอยู่ฝ่ายรัฐบาล 5 เสียง) พรรคเป็นธรรม 1 เสียง พรรคไทยก้าวหน้า 1 เสียง
สูตรที่ 2 พรรคเพื่อไทย ยึดกระทรวงมหาดไทยสำเร็จ และพรรคภูมิใจไทยไปเป็นฝ่ายค้าน รัฐบาลก็จะเหลือ 259 เสียง ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย 142 เสียง พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง พรรคกล้าธรรม 26 เสียง พรรคประชาธิปัตย์ 25 เสียง พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง พรรคประชาชาติ 9 เสียง พรรคชาติพัฒนา 3 เสียง ไทยรวมพลัง 2 เสียง พรรคประชาธิปไตยใหม่ 1 เสียง เสรีรวมไทย 1 เสียง งูเห่าแปรพักตร์ชัดเจนจากพรรคไทยสร้างไทย 3 เสียง และพรรคประชาชน 1 เสียง
ขณะที่พรรคฝ่ายค้านมีอยู่ 236 เสียง ประกอบด้วย พรรคประชาชน 142 เสียง พรรคพลังประชารัฐ 20 เสียง พรรคไทยสร้างไทย 1 เสียง พรรคเป็นธรรม 1 เสียง พรรคไทยก้าวหน้า 1 เสียง และพรรคภูมิใจไทย 71 เสียง (รวม สส.ไทยสร้างไทย 2 คน ที่เปิดตัวจะมาอยู่กับพรรคภูมิใจไทย)
สูตรนี้จะทำให้มีช่องว่างระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายค้าน 23 เสียง
สูตรที่ 3 กรณี 71 เสียง พรรคภูมิใจไทย ผนึกกับพรรครวมไทยสร้างชาติในปีกของพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่มีบุคคลเบื้องหลังคือกำนันสุเทพ-สุเทพ เทือกสุบรรณ มีอยู่ 18 เสียง ซึ่งสูตรนี้จะทำให้พรรคภูมิใจไทยมีเสียงในการต่อรอง 89 เสียง เกมนี้พรรคเพื่อไทยกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบทันที
เหตุผลต้องยึดมหาดไทย
นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย มองเหตุผลที่พรรคเพื่อไทย ต้องยึดกระทรวงมหาดไทยคืนจากพรรคภูมิใจไทยว่า เพราะกระทรวงมหาดไทยคือกระทรวงใหญ่ ต้องช่วยร่วมมือกันผลักดันนโยบายรัฐบาลให้เดินไปข้างหน้าได้ แต่ไม่ทำแล้วมาขัดขวางนโยบายรัฐบาลอีก
ที่สำคัญคือ สส.เป็นตัวแทนประชาชน แต่ผู้ว่าฯ นายอำเภอ ไม่สนใจ คล้าย ๆ ไม่มีความหมายเลย สส.อยู่พื้นที่ เรียกข้อมูลเพื่อแก้ปัญหาประชาชน กลับไม่ได้รับการตอบสนอง ไม่ได้รับความร่วมมือ
ส่วนถ้าพรรคภูมิใจไทยถอยไปเป็นฝ่ายค้าน จะกระทบเสถียรภาพรัฐบาลหรือไม่ “นพ.เชิดชัย” กล่าวว่า กระทบไม่มาก คนอยากเป็นรัฐบาลทั้งนั้น จริง ๆ ในรัฐธรรมนูญ กำหนดว่า พรรคที่รวบรวมเสียง สส.ได้เกินกึ่งหนึ่งสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ไม่ได้บอกว่าพรรคไหน เราคำนวณเรียบร้อยแล้ว มีพรรคอื่นอยากเป็นรัฐบาลเยอะแยะ
เท่าที่ฟังดูรัฐบาลไปได้ มีเสียงเกินประมาณ 20 กว่าเสียง เป็นเซฟโซนอยู่ ขณะเดียวกัน ก็ไม่คิดว่าพรรคสีส้ม (พรรคประชาชน) ในฐานะฝ่ายค้านจะมาไล่รัฐบาลอย่างเดียว
“สส.เพื่อไทยเกือบหมดเห็นด้วยเอามหาดไทยคืน เพราะเราเป็นพรรคหลัก ที่สำคัญหากพรรคภูมิใจไทยออกจากรัฐบาลไป โควตารัฐมนตรีเหลือเยอะ กลุ่มอื่น สส.พรรคเล็ก พรรคน้อยอยากเป็นรัฐบาลไหม เสียงไม่พอตอนไหนก็ไปหาตอนนั้น เป็นกลไกที่เกิดขึ้นประจำ จริงอยู่มติพรรคก็สำคัญในการโหวต แต่ สส.คนอื่นในพรรคก็อยากเป็นรัฐบาล เชื่อว่าที่สุดแล้วก็จะมีคนอยากจะมาร่วมงานกับรัฐบาลเพิ่ม” นพ.เชิดชัยกล่าว
เปลี่ยน มท.1 ได้ประโยชน์กว่า
ถามว่าพรรคเพื่อไทยจะได้อะไร หากยึดกระทรวงมหาดไทยไปสำเร็จ นพ.เชิดชัยกล่าวว่า “กระทรวงมหาดไทย เป็นกลไกหนึ่งปราบปรามยาเสพติด ผู้ว่าฯ ต้องเอาจริงเอาจัง การกระจายอำนาจประชาชนไปยัง อบจ. อบต. เทศบาล ต้องช่วยรัฐบาลทำเต็มที่ กรมต่าง ๆมหาดไทยต้องขยัน ไม่ใช่ไปวิ่งเต้น”
“เมื่อเปลี่ยนมหาดไทย กลไกต่าง ๆ จะดีขึ้นเยอะเลย ประเสริฐ จันทรรวงทอง เข้ามาก็เอาจริงเอาจัง ไล่จี้ แต่ไม่ลงไปบู๊ล้างผลาญ ถ้าคนตรง คนจริง ทำได้สบาย ข้าราชการก็จะชอบด้วย”
ดังนั้น พรรคเพื่อไทยไม่เสียอะไร ประชาชนก็ได้ด้วย