อัดแพ็กเกจเศรษฐกิจแสนล้าน เร่งปรับ ครม.อิ๊งค์1/1-ทูลเกล้าฯ

แพทองธาร ชินวัตร
แพทองธาร ชินวัตร

ปรับ ครม. “แพทองธาร 1/1” ลงตัว สั่งกรอกประวัติใหม่หมด ส่งกฤษฎีกา-ป.ป.ช.-ตร. เข้าสู่กระบวนการทูลเกล้าฯ ดันแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจ อนุมัติ 1.15 แสนล้าน ซ่อม-สร้างถนน ระบบน้ำ หนุนท่องเที่ยวอุ้ม SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากกำแพงภาษีสหรัฐ เติมเงินกองทุนหมู่บ้าน 4 พันล้าน สั่งทุกหน่วยงานก่อหนี้ภายใน 30 ก.ย.นี้ คาดดันจีดีพีโตเพิ่ม 0.4% คลังใช้ ธอส.ตัวช่วยอัดสินเชื่อ 1.5 แสนล้าน หอการค้าเร่งเจรจาภาษีทรัมป์

นายกรัฐมนตรีเตรียมส่งบัญชีรายชื่อและประวัติรัฐมนตรีใหม่ ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เข้าสู่กระบวนการทูลเกล้าฯ ภายใต้ 6 พรรคร่วมรัฐบาล ประกอบด้วย เพื่อไทย (พท.) รวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล้าธรรม (กธ.) ชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) พรรคประชาชาติ (ปชช.) และพรรคขนาดจิ๋ว พรรคละ 1-3 เสียง อีก 4 พรรค คือ ชาติพัฒนา (ชพน.) พรรคไทรวมพลัง พรรคประชาธิปไตยใหม่ (ปธม.) พรรคไทยก้าวหน้า (ทกน.)

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า สถานการณ์ที่อิหร่าน-อิสราเอล ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของโลกรวมถึงประเทศไทยด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของปริมาณและราคาพลังงาน การเงิน การคมนาคม การท่องเที่ยว จึงสั่งการให้กระทรวงการคลัง กำหนดมาตรการและกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน เพื่อช่วยเหลือ และภาคธุรกิจทุกระดับ รวมถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้า

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงความคืบหน้าในการปรับคณะรัฐมนตรีว่า ลงตัว ไม่มีอะไร ได้คุยกับหัวหน้าพรรคทุกคนแล้ว ต่อไปจะเป็นเรื่องการส่งรายชื่อ เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติ เมื่อเรียบร้อยจะนำขึ้นทูลเกล้าฯต่อไป

ทั้งนี้ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ได้ให้รัฐมนตรีทุกคนกรอกประวัติใหม่ เพื่อยืนยันและอัพเดตข้อมูล จากนี้เมื่อ สลค.ได้รับประวัติแล้วจะมีการสอบถามไปยังหน่วยงานที่เกี่ยว อาทิ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงาน ป.ป.ช.

อนุมัติแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจ

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง แถลงภายหลังการประชุม ครม. ร่วมกับนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง และปลัดกระทรวงการคลัง ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

นายพิชัยกล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท โดยมีข้อเสนอโครงการที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ จำนวน 481 โครงการ แบ่งเป็น 8,939 รายการ ภายในกรอบวงเงิน 115,375 ล้านบาท เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ได้ผลในระยะยาว

ADVERTISMENT

8.5 หมื่นล้านปรับโครงสร้างพื้นฐาน

ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ข้อเสนอโครงการผ่านการพิจารณา 34 โครงการ วงเงินรวม 85,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำ ข้อเสนอโครงการผ่านการพิจารณา 8 โครงการ วงเงิน 39,136 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.การพัฒนาน้ำอุปโภคบริโภค 2.การปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพแหล่งน้ำเดิมและพัฒนาระบบกระจายน้ำ 3.พัฒนาพื้นที่เกษตรน้ำฝน 4.พัฒนาพื้นที่หน่วงน้ำและการป้องกันน้ำท่วม

ด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม 26 โครงการ วงเงิน 45,864 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงและพัฒนาถนนเชื่อมเมืองรอง เพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางและขนส่งพัฒนาโครงข่ายส่งเสริมพื้นที่เกษตรกรรม แก้ปัญหาจุดตัดทางรถไฟและถนน แก้ไขปัญหาจราจร พื้นที่คอขวด คาดว่าสามารถสร้างการจ้างงานได้ 2.85 แสนคน

1 หมื่นล้านปลุกท่องเที่ยว

นายพิชัยกล่าวว่า ด้านการท่องเที่ยว 420 โครงการ วงเงินรวม 10,053 ล้านบาท เพื่อพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว สนามกีฬา และสิ่งอำนวยความสะดวก พัฒนาและยกระดับความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวภายในประเทศโดยเฉพาะในพื้นที่เมืองรอง คาดว่าจะสนับสนุนให้มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นกว่า 2,766,000 คน สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 55,059 ล้านบาท

อุ้ม SMEs กระทบภาษีทรัมป์

ด้านลดผลกระทบภาคการส่งออก เพิ่มผลิตภาพ และดิจิทัล 10 โครงการ วงเงินรวม 11,122 ล้านบาท ได้แก่ 1.ด้านการเกษตร ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 6,000 บาทต่อไร่ต่อปี ให้สถาบันเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 320,000 บาทต่อปี

2.ด้านแรงงาน 1 โครงการ วงเงิน 10,000 ล้านบาท โดยจะจัดสรรงบให้กับสำนักงานประกันสังคม ซึ่งจะนำไปฝากที่ธนาคารออมสิน แล้วไปปล่อยสินเชื่อซอฟต์โลน อัตราดอกเบี้ยประมาณ 3.25% เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบให้แรงงานและผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐอเมริกา มีสถานประกอบการกว่า 1,700 แห่ง จ้างงานประมาณ 1 แสนคน 3.ด้านดิจิทัล 5 โครงการ วงเงิน 962 ล้านบาท

4.ด้านเศรษฐกิจชุมชนและอื่น ๆ 17 โครงการ จำนวน 9,201 ล้านบาท แบ่งเป็น กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ วงเงิน 4,000 ล้านบาท, ทุนมนุษย์ด้านการศึกษา วงเงิน 3,641 ล้านบาท พัฒนาเศรษฐกิจชุมชน วงเงิน 1,560 ล้านบาท

เศรษฐกิจขยายตัว 0.4%

นายพิชัยกล่าวว่า เม็ดเงิน 115,375 ล้านบาท จะส่งผลให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 ควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจผ่านการลงทุนในทุนมนุษย์และการปรับปรุงกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ให้เอื้อต่อการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และจะพิจารณากำหนดนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จำเป็นและเหมาะสม เพื่อรองรับสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจต่อไป

ต้องก่อหนี้ภายใน 30 ก.ย. 68

ด้านนายดนุชากล่าวว่า ตัวเลขกระตุ้นเศรษฐกิจได้ร้อยละ 0.4 ภายใต้สมมุติฐาน ถ้ามีการเบิกจ่ายงบประมาณ 1.15 แสนล้านได้ในประมาณไตรมาส 4

ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณกล่าวถึงวิธีการใช้งบประมาณ 1.15 แสนล้านว่า มีข้อจำกัดว่าจะต้องก่อหนี้ผูกพันให้เสร็จภายใน 30 กันยายน 2568 ซึ่งจะกันการใช้งบประมาณโครงการได้ 1 ปี อย่างน้อยที่สุดต้องลงนามผูกพันในสัญญา และถ้าเบิกจ่ายไม่ทันใน 30 กันยายน 2569 งบฯดังกล่าวก็จะตกไป คาดว่าสามารถดำเนินการได้เสร็จใน 1 ปี

ปลัดกระทรวงการคลังระบุว่า คณะกรรมการกลั่นกรองพิจารณาด้วยความรอบคอบ โครงการที่ได้รับการอนุมัติดูแล้วว่าตอบโจทย์เรื่องโครงสร้างพื้นฐาน เรื่องน้ำ แต่จากนี้จะมีรอบที่สอง รอบที่สาม ที่จะพิจารณาต่อไป ไม่ใช่มีเงินเท่าไหร่ใช้หมด แต่ไม่รอบคอบ

อัด 1.5 แสนล้านกระตุ้นอสังหาฯ

นอกจากนี้ ในการมอบนโยบายการทำงานให้แก่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) นายพิชัยกล่าวว่า ได้มอบนโยบายให้ ธอส. เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ เร่งปล่อยสินเชื่อใหม่ครึ่งหลังของปี 2568 เพื่ออัดเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจอีกกว่า 150,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ ธอส.ได้ออก 4 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ประกอบด้วย 1.สินเชื่อบ้าน Premier Home สำหรับลูกค้ากำลังซื้อสูง ที่ต้องการที่อยู่อาศัยวงเงินกู้ตั้งแต่ 7 ล้านบาทขึ้นไป เสนออัตราดอกเบี้ยปีแรกเริ่มต้น 1.79% ต่อปี

2.สินเชื่อซ่อม-แต่ง และซ่อม-แต่ง Plus สำหรับลูกค้าที่ต้องการกู้เพื่อปรับปรุงซ่อมแซม วงเงินกู้สูงสุด 300,000 บาท โดยวงเงิน 100,000 บาทแรก คิดดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 1.00% ต่อปี และวงเงิน 200,000 บาทถัดมา คิดดอกเบี้ย 1.99% ต่อปี

3.สินเชื่อ Prefinance Premium สำหรับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในทำเลศักยภาพ 27 จังหวัด อัตราดอกเบี้ยปีแรก 3.90% ต่อปี

4.มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ (DC3) สำหรับลูกค้ากลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ (SM) กรอบวงเงิน 30,000 ล้านบาท โดยจะได้รับการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 6 เดือนแรกเหลือเพียง 0% ต่อปี และผ่อนชำระเงินงวดเพียง 1,000 บาทต่อเดือน

แนะใช้เงินปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำ

นายเมธัส รัตนซ้อน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์การลงทุนทิสโก้ กลุ่มทิสโก้หรือ ESU กล่าวว่า “งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท ไปลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน คิดว่าไม่เพียงพอในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีความเสี่ยงด้านต่ำ แม้ว่าโครงการดังกล่าวตัวทวีคูณเศรษฐกิจเยอะ แต่ผลต่อเศรษฐกิจที่มีความเสี่ยงต่ำจำกัด ดังนั้นจึงไปใช้ในโครงการปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) และการรับประกันสินเชื่อ เพื่อเสริมสภาพคล่องและพยุงไม่ให้เกิดคลื่นของการปิดกิจการและการเลิกจ้างที่อาจลุกลามบานปลายได้”

การเมืองทำเงินบาทผันผวน

นายเมธัสกล่าวด้วยว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 หลังจากนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า (Reciprocal Tariffs) จะเห็นว่าค่าเงินบาทเคลื่อนไหวจากอ่อนค่าที่ระดับ 35.00 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 คาดว่าจะทยอยอ่อนค่าไปแตะที่ระดับ 35.00 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากความเสี่ยงทางด้านการเมือง ท่องเที่ยวชะลอ และความเสี่ยงจากการ Down Grade อันดับเครดิตประเทศ ทำให้เงินทุนเคลื่อนย้าย (Fund Flow) ไหลออกได้

ดังนั้นจะเห็นการอ่อนค่าจากระดับ 33.00 บาทต่อดอลลาร์ ไปแตะระดับ 35.00 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงปลายปีนี้ได้

“ความผันผวนของค่าเงินบาทค่อนข้างสูง จากปัจจัยในประเทศเรื่องการเมืองที่ยังต้องจับตาการยุบสภา หรือการเปลี่ยนคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งยังมีความเสี่ยงจากสงครามการค้าที่ยังไม่จบ และสงครามระหว่างอิหร่านและอิสราเอลอีก ซึ่งสร้างความผันผวนค่อนข้างเยอะ”

หอการค้าฯชง 3 วาระ

ดร.วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทยเปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) เอกชนต้องการให้รัฐบาลเดินหน้ามีอยู่ 3 ประเด็นหลัก คือ 1.การเดินหน้าเจรจาด้านภาษีระหว่างไทยกับสหรัฐ ซึ่งกำลังเห็นความชัดเจนมากขึ้น 2.การผ่านร่างงบประมาณปี 2569 3.แผนการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งให้ดำเนินการได้ทันในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4

ขอเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3%

นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรเปิดเผยว่า ช่วงโค้งสุดท้ายไตรมาส 2/68 นอกจากเพิ่มปัญหาการเมืองภายในที่เปราะบางแล้ว ภาคอสังหาฯกำลังเจอต้นทุนค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทในเขตกรุงเทพฯ ในขณะที่ไม่สามารถขึ้นราคาบ้าน-คอนโดฯได้ สภาพการแข่งขันธุรกิจที่อยู่อาศัยมีการตัดราคา ซึ่งส่งผลกระทบหนักในกลุ่มสินค้าตลาดล่าง ราคา 1-2 ล้านบาท โดยทาง 3 สมาคมมีแนวทางเบื้องต้นว่าอาจจะต้องเสนอขอยกเว้นการเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3% (ภาษีผู้ประกอบการ) เพื่อประคองให้สมาชิกบริษัทอสังหาฯที่จับตลาดล่างไปรอด ไม่เช่นนั้นตลาดจะกลายเป็นเหลือแต่ผู้ประกอบการรายใหญ่