“ธนาธร” ยัน ไม่ได้จ้าง-อยู่เบื้องหลัง “ม็อบปลดแอก วอนทุกฝ่ายหันหน้าคุย

“ธนาธร” ยัน ไม่ได้อยู่เบื้องหลังจ้าง “ม็อบปลดแอก” เชื่อ คนออกมาเรียกร้องเพื่ออนาคตประเทศ ขอปชช.ร่วมกันปกป้องผู้ชุมนุม แนะรัฐหันหน้าเข้าหากัน ก่อนเกิดวิกฤตการเมืองรุนแรงกว่านี้

วันที่ 20 กรกฎาคม 2563 เวลา 14.30 น. ที่รัฐสภา มติชนออนไลน์รายงาน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอก โดยยืนยันว่า ตนไม่ได้อยู่เบื้องหลังการชุมนุมครั้งนี้ และไม่เคยให้เงินเป็นค่าจ้างกับกลุ่มแกนนำ และเชื่อว่าการออกมาชุมนุมของกลุ่มคนเหล่านั้น ก็ไม่ได้รับอามิสสินจ้างจากใครด้วย แต่เป็นการเคลื่อนไหวเพื่อต้องการให้ประเทศเดินไปข้างหน้า

ส่วนที่น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรีพรรคพลังประชารัฐ ท้าสาบานว่าไม่ได้อยู่เบื้องหลังการชุมนุมของกลุ่มนักศึกษาจริงๆ นายธนาธร กล่าวว่า “ไม่ขอต่อล้อต่อเถียงด้วย”

ส่วนกรณีที่ตำรวจเตรียมดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ชุมนุมฐานฝ่าฝืนพ.ร.ก. ฉุกเฉินและการละเมิดสถาบัน นายธนาธร กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้ประชาชนร่วมกันปกป้องกลุ่มผู้ชุมุนุมที่ออกเรียกร้องประชาธิปไตยในวันนี้ เพราะสิ่งที่เขาทำนั้น ทำเพื่ออนาคตของประเทศ หากไม่ปกป้องก็จะไม่มีใคร ออกมาต่อสู้แทนประชาชนได้ เพราะถือเป็นกลุ่มบุคคลที่มีความกล้าหาญ พร้อมมองว่า การที่ออกมาข่มขู่ว่าจะดำเนินคดีเป็นกลยุทธ์ของฝ่ายรัฐบาล เพื่อให้กลุ่มผู้ชุมนุมกลัว ไม่กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล ซึ่งถือเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน และการที่คนของคณะก้าวหน้าและพรรคก้าวไกลออกไปร่วมชุมนุมด้วยไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะคนของอดีตพรรคอนาคตใหม่ ต่างก็เรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดังนั้นเมื่อมีการออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องนี้พวกเราก็พร้อมที่จะร่วมสนับสนุน

ส่วนข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุมที่ให้ยุบสภา นายธนาธร ไม่ขอแสดงความเห็นเพราะเป็นเรื่องของกลุ่มผู้ชุมนุม

นายธนาธร ยังกล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มนักศึกษาในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า ว่า ถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายจะต้องหันหน้าเข้าหากัน เพราะถึงจุดที่จะใกล้เกิดวิกฤตการเมืองแล้ว ซึ่งหากปล่อยให้วิกฤตการเมืองครั้งนี้เกิดขึ้น มันจะรุนแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมามาก แต่ยังพอมีเวลาเหลืออยู่ที่จะยับยั้งวิกฤตนี้ได้ เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียของประชาชนขึ้นอีก อย่ารอให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายขึ้นมาก่อนแล้วค่อยหันหน้าพูดคุยกัน พร้อมย้ำว่าข้อเสนอนี้ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางออกเดียวของสังคมไทย เพื่อหาข้อตกลงใหม่ ที่เป็นที่ยอมรับร่วมกัน