“ประยุทธ์” โดดเดี่ยว กลางมรสุม พรรคร่วมแตกคอ-คุมเชิงต่อรองทุกวาระ

รายงานพิเศษ

อาฟเตอร์ช็อกหลังการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประยุทธ์ 2/2 เร็วกว่าที่คาด-มากกว่าที่คิด เมื่อ “กัปตันเรือแป๊ะ” ยืนหนึ่ง หลังพิงเชือก-ปัดป้อง “พายุหมัด” จากทุกทิศ-ทุกทางทั้งในสภาและนอกสภา

พรรคฝ่ายค้าน-แนวต้านทำให้ “รัฐบาลวงแตก” แม้แต่พรรคพลังประชารัฐ เพราะกลุ่ม-ก๊กต่าง ๆ ไม่ได้เกาะเกี่ยวกันด้วยอุดมการณ์ แต่เป็น “ผลประโยชน์” เมื่อ “สมประโยชน์” จากการปรับ ครม.ประยุทธ์ 2/2 ก็แยกตัว-อยู่ในที่ของตัวเอง

เมื่อแต่ละก๊วน-ก๊ก ถอยไปอยู่ในที่ของตัวเอง ไม่มีใครเป็นแนวต้าน-ไม่มีที่ที่เป็นจุดศูนย์รวม ออกรับหน้า-รับศึกนอกพรรคให้รัฐบาล มรสุมทุกลูกจึงถล่ม-พุ่งรบไปที่ตัว “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” โดยตรงซ้าย-ขวา

ม็อบประชิด-จุดไฟไหม้บ้าน

การชุมนุมของนักเรียน นิสิต-นักศึกษา ดาวกระจาย-ยืดยื้อ “ตั้น-บี” ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ-พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ กว่าจะรู้ตัวว่า “ไฟไหม้บ้าน” ต้องรอให้ “นักเรียนเลว” ประชิดหน้ากระทรวง เป่านกหวีด-ไล่ไปต่อแถว-รุกคืบอธิปไตยไซเบอร์จนเกือบเสียดินแดน

“แกนนำกลุ่ม กทม.พลังประชารัฐ” วิเคราะห์อาฟเตอร์ช็อก-ก่อนออกศึกว่า “แฟลชม็อบ” ไม่ยืดเยื้อ เพราะ “สายป่านสั้น” การทำจัดตั้งม็อบต้องใช้เงินระดับพันล้านบาท

Advertisment

“การแก้ไขรัฐธรรมนูญ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ควรปล่อยมือจากอำนาจ เพราะปล่อยไปแล้วไม่ได้กลับมาเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ หรือไม่มีทางได้กลับมา 120 เปอร์เซ็นต์ แล้วจะปล่อยทำไม”

“ศิษย์เก่าประชาธิปัตย์” ที่ได้ดิบได้ดีในพรรคพลังประชารัฐอีกรายใช้ “เคล็ดวิชา” ทำโพลสำรวจความนิยม โชว์ให้เห็นว่า ทุกพรรคคะแนนต่ำหมด ไม่เว้นแม้แต่พรรคพลังประชารัฐ จึงต้องทำแต้มให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ ให้ยืนฝ่ากระแสต้านสิบทิศ

“การแก้ปัญหาเศรษฐกิจจะเป็นปัจจัยชี้ขาดเสถียรภาพของรัฐบาล ทีมรัฐมนตรีเศรษฐกิจชุดใหม่มีเวลาพิสูจน์ฝีมือเพียง 6-9 เดือน เพื่อประคองรัฐบาลให้อยู่ครบเทอม 4 ปี” แกนนำพลังประชารัฐระบุ

เซตทีมโฆษกรัฐบาลตีปี๊บผลงาน

การส่ง “อนุชา บูรพชัยศรี” ศิษย์เก่าประชาธิปัตย์-สมาชิกนอกไส้พลังประชารัฐ มาเป็น “โฆษกรัฐบาล” เพื่อ “ตีปี๊บ” เศรษฐกิจของรัฐบาลที่อยู่ในช่วง “ดิ่งเหว” ถูกวีรกรรม “ยึดพรรค” กลบผลงาน “ตีตื้น” คะแนนนิยมในตัว พล.อ.ประยุทธ์

Advertisment

โดย “อนุชา” จะเซต “ทีมโฆษกรัฐบาล” ใหม่ เพื่อ “แบ่งงาน” ในการแถลงข่าว ให้เป็น “ผลงานของรัฐบาล” ไม่ใช่ “ผลงานของพรรค” เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ-ไม่เกิดการแย่งซีน

“มติ ครม.ของกระทรวงเกษตรฯ กระทรวงพาณิชย์ รองรัชดา (ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี) ไม่จำเป็นต้องแถลงคนเดียวก็ได้”

“กระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ก็ไม่จำเป็นต้องจำกัดแค่ให้รองโฆษกรัฐบาล (ไตรศุลีไตรสรณกุล) ที่มาจากพรรคภูมิใจไทยเป็นคนแถลงเท่านั้น” แกนนำก๊วน กทม.ที่ส่งนายอนุชาเข้าเส้นชัย-โฆษกรัฐบาลเซตฉาก-แสง-เสียง

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัญหาเศรษฐกิจ-ปากท้องหลังโควิด-19 จะเป็น “เดิมพัน” ครั้งสำคัญของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เพราะมีคนตกงานกว่า 7 แสนคนในระบบที่ “ถูกลอยแพ” ไม่นับแรงงานนอกระบบ-คนหาเช้ากินค่ำ ที่มีเงินชักหน้า-ไม่ถึงหลัง

ธุรกิจเอสเอ็มอี-คนตัวเล็ก พ่อค้า-แม่ค้า ร้านตลาดต้อง “ล้มหายตายจาก” เป็น “ใบไม้ร่วง” จนกลายเป็นปัญหารุมเร้ารัฐบาล และ “จุดเปลี่ยน” สถานะหัวหน้ารัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์

วิกฤตเศรษฐกิจบนบ่า “บิ๊กตู่”

ทว่าการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ “รัฐมนตรีเศรษฐกิจ” ไม่ได้มีความหมายเท่ากับ “ทีมที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี” ทั้ง “ไพรินทร์ ชูโชติถาวร” ประธานขับเคลื่อนมาตรการเศรษฐกิจ-ศูนย์บริหาสถานการณ์เศรษฐกิจ (ศบศ.) ที่เปรียบเสมือนเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ-เป็นเงาของนายสุพัฒนพงษ์ แต่มี “ตำหนิ” ไม่สามารถเป็นรัฐมนตรีได้

ขณะที่ขุนคลัง-ปรีดี ดาวฉาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ถูก “รับน้อง” ไม่สามารถฝ่าด่านการเมือง-แต่งตั้งอธิบดีได้ ทั้ง ๆ ที่มีความชอบธรรมในทางนิตินัย เพราะ “สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” รองนายกรัฐมนตรี กำกับกระทรวงการคลัง แต่ปล่อยให้ “สันติ พร้อมพัฒน์” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ล้วงลูก-แทรกแซงการแต่งตั้ง โยกย้ายอธิบดีกรมบิ๊ก

“พล.อ.ประยุทธ์” จึงต้องออกมา “ยืนแถวหน้า” เป็น “หนังหน้าไฟ” ให้กับ “ทีมเศรษฐกิจที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี” ที่เป็น “หัวใจ” ของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

อาฟเตอร์ช็อกระดับความสั่นสะเทือนรุนแรงที่สุด คือ การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ในวันที่ยัง “ลูกผีลูกคน”

โดยมีตัวเร่งจากระเบิดเวลา “เรือดำน้ำ” ที่ “พล.อ.ประยุทธ์” สวมหมวกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอีกใบต้องยืน “แลกหมัด” กับพรรคฝ่ายค้าน-เพื่อไทยที่อาจจะทำให้ “กระแสตีกลับ” แปรผันตามวิกฤตเศรษฐกิจ-ปากท้อง

สามมิตรเกียร์ว่าง

ประกอบกับการใส่ “เกียร์ว่าง” ของแกนนำ “สามมิตร” สมศักดิ์ เทพสุทิน-สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ กบดาน-หลบฉากการเมืองร้อน “ลดบทบาท” หลัง อกหักจากเก้าอี้พลังงาน-ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า

“สุริยะ” คีย์แมนสำคัญที่เคยฝากผลงานรวบมือ-รวมเสียง งูเห่า-ฝากเลี้ยงจากพรรคฝ่ายค้าน-เพื่อไทย จนทำให้รัฐบาลยืนเหนือน้ำ กลับนอน “จำศีล” เป็น “เสือซ่อนเล็บ”

เสียงของพรรคร่วมรัฐบาลในสภา 500 ที่เหนือน้ำ 275 เสียง โหวต 100 ครั้ง ชนะ 100 ครั้ง หากถึงเวลา “ยกมือโหวต” อาจจะต้อง “จ่ายหนัก” และต้องใช้บริการหลักของ “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ

ส่วน “อนุชา นาคาศัย” รัฐมนตรีประจำสำนายกรัฐมนตรี หลังได้รับตำแหน่ง “เสนาบดี” ใน ครม.ประยุทธ์ 2/2 สมใจ-แต่กลับชะลอบทบาทเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ที่ต้อง “ประสานสิบทิศ” ประคองพรรครัฐบาลให้ไปตลอดรอดฝั่ง

เวลา “เสี่ยแฮงค์” หมดไปกับการลงพื้นที่อย่างขะมักเขม้น ตั้งแต่ 17 สิงหาคม 2563 เป็นประธานจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่อง “ผู้บริโภค ฉลาดซื้อประหยัดใช้” ที่ห้องประชุมบริษัท ยูมี พลัส กรุ๊ป จำกัด อ.เมืองสมุทรสาคร

22 สิงหาคม 2563 เป็นประธานการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2563 ของสหกรณ์การเกษตรมโนรมย์ ที่สหกรณ์การเกษตรมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท

24 สิงหาคม 2563 เป็นประธานเปิดโครงการตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการดำเนินงาน กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองพื้นที่จังหวัดระยอง ที่ร้านค้าชุมชนประชารัฐ ต.กระแสบน หมู่ที่ 14 ต.กระแสบน อ.แกลง จ.ระยอง

ส่วน “ก๊วนธรรมนัส-นฤมล” กลายเป็น “คู่ดูโอ้” แห่งวงการ เดินสายลงพื้นที่ภาคเหนือ-รักษาฐานเสียง ภายใต้คณะกรรมการขับเคลื่อนไทยสร้างชาติระดับจังหวัด เตรียมรับมือ “อุบัติเหตุทางการเมือง” ที่อาจจะเกิดขึ้น

ปชป.-ภูมิใจไทย ตีตัวออกห่าง

ขณะที่หนังม้วนยาว-สงครามการแก้รัฐธรรมนูญ “พล.อ.ประยุทธ์” ถูก”โดดเดี่ยว” จากทุกพรรคการเมือง แม้กระทั่งพรรคพลังประชารัฐ เพราะไม่สามารถฝ่ากระแสแนวต้านของรัฐบาลได้

รวมถึงการ “เอาตัวออกห่าง” ของพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย ที่พร้อมจะกระโดดลงจาก “รัฐนาวา” ที่มี “พล.อ.ประยุทธ์” เป็น “หัวเรือใหญ่” ได้ทุกเมื่อ ไปโหนท้ายเรือลำใหม่-แย่งถือธงนำแก้รัฐธรรมนูญ

พล.อ.ประยุทธ์จึงถูกโดดเดี่ยว สารพัดก๊กในพลังประชารัฐหน่ายหนี พรรคร่วมรัฐบาล ประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย กับ 10 พรรคจิ๋ว “เอาตัวออกห่าง” รอกระโดดลงจากเรือแป๊ะ-ทิ่มหัวรัฐนาวา