การเมืองสมคบคิดคว่ำ “ปรีดี”

“พลังประชารัฐ” เขย่าโผรัฐมนตรีคลังรอบสองการประกาศไขก๊อกของนายปรีดี ดาวฉาย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง 27 วันสะเทือนเสถียรภาพรัฐบาล สะท้านไปถึง “อำนาจในมือ” ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมพล.อ.ประยุทธ์ “ชนะแต่แพ้” ชนะในศึกยึดพรรค-เกมเขย่าเก้าอี้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ประยุทธ์ 2/2 เพราะสามารถรักษาเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรี-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานไว้เป็น “โควตาพิเศษ”

ทว่าแพ้ให้กับ “ทฤษฎีสมคบคิด” เกมเลื่อยขาเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง “เปิดทาง” ให้เกิดการปรับ “ครม.ประยุทธ์ 2/3” ก่อนเวลาอันควรและ “เปิดช่อง” ให้นักการเมืองกระเหี้ยนกระหือรือ-อัพเกรดเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ขณะเดียวกันก็สนอง passion ให้กับ “นักวิ่ง” มานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง”สมใจปอง”

ย้อนกลับไปตลอด 27 วัน ตั้งแต่นายปรีดีเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ “ขวางทางปืน” ที่เป็น “ผลประโยชน์ก้อนโต” ของนักการเมืองอาชีพ-ธนกิจการเมืองที่ไม่สามารถแหกด่านยุคทีมเศรษฐกิจสมคิด-สี่กุมารได้

ทั้งการขัดแข้ง-ขัดขาผลประโยชน์ของนักการเมืองพันธุ์พิเศษในพรรคพลังประชารัฐ ที่ต้องการ “กินรวบ” กระทรวงการคลัง และเป็น “กระดูกชิ้นโต” ขัดผลประโยชน์ทับซ้อนของกลุ่มการเมืองที่หากินกับสัมปทาน-โครงการรัฐ

“ครั้งแรก” นายปรีดี “กระโดดขวาง” โครงการต่อ-ขยายสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว หลังจากที่ประชุม ครม. เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2563 “ตีกลับ” วาระ ครม. ผลการเจรจา-เห็นชอบร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอให้ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ขยายสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวไปอีก 30 ปี (2572-2602) เนื่องจากนายปรีดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้น เพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้เพียง 8 วัน และเป็นการประชุม “ครม.นัดแรก” ของนายปรีดี จึงต้องรอให้นายปรีดีทำความเห็นประกอบการพิจารณาก่อน

“ครั้งที่สอง” การ “งัดข้อ” กับ “นายสันติ พร้อมพัฒน์” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง-ผู้อำนวยการพรรคพลังประชารัฐ ในการแต่งตั้งอธิบดีกรมสรรพสามิต กลางที่ประชุม ครม.สัญจรที่จังหวัดระยอง เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2563

โดย “โผแรก” นายปรีดีได้โอน นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมสรรพสามิต ไปดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศุลกากร และให้ “นายลวรณ แสงสนิท” ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ไปดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพสามิตแต่กลับมี “โผรัฐมนตรีช่วยว่าการ”แทรกเข้ามา โดยโยก นายประภาส คงเอียด ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ไปนั่งอธิบดีกรมสรรพสามิตจน พล.อ.ประยุทธ์-นายวิษณุ เครืองามมือกฎหมายของรัฐบาลต้อง “ดึงไฟออกจากไฟ” ถอนวาระแต่งตั้งอธิบดีกรมสรรพสามิตออกไปก่อนเกิดเป็น “รอยร้าว-บาดลึก” ระหว่าง “รัฐมนตรีว่าการ” กับ “รัฐมนตรีช่วยว่าการ” เกิดความกินแหนงแคลงใจ ทำงานร่วมกันไม่ได้-มองหน้ากันไม่ติด

เป็นอีก 1 ปมขัดขวางการตั้ง “คนของตัวเอง” ไปนั่ง “กรมภาษีบาป” ที่มีเป็น”ผลประโยชน์ก้อนโต” ถึงแม้การประชุม ครม.ครั้งถัดมาในวันที่ 1 กันยายน 2563จะเห็นชอบให้นายลวรณ เป็นอธิบดีกรมสรรพสามิต ตามที่นายปรีดีเสนอก็ตามการไขก๊อกจากเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของนายปรีดี ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวทางการเมือง-โผรายชื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ ทั้งคนใน-คนนอกพรรคพลังประชารัฐ

โดยเฉพาะโผ “คนใน” พรรคพลังประชารัฐ นายสันติ-คู่กรณี ที่แบะท่าชัดเจน พร้อม “อัพเกรด” นั่งเก้าอี้ “ขุนคลัง”เปิดทางให้ “นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน สไลด์มานั่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังหรือ “สับกำลัง” กับ “เสี่ยแฮงค์” อนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

ขณะที่โผ “คนนอก” ตัวจริง-ตัวหลอกว่อนทำเนียบรัฐบาล ทั้ง “ดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร” กุนซือเศรษฐกิจ ประจำการตึกไทยคู่ฟ้า ที่มีชื่อ “ติดทุกโผ” รวมถึงมือดี “นายบุญทักษ์ หวังเจริญ” 1 ในคณะที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ซึ่งขณะนี้เป็น 1 ในอรหันต์ผู้จัดทำแผนฟื้นฟู-กู้วิกฤตการบินไทย

แม้กระทั่ง “นายกรณ์ จาติกวณิช” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังใน รัฐบาลนายอภิสิทธิ์-หัวหน้าพรรคกล้า “ที่ปรึกษาเศรษฐกิจรัฐบาลนอกทำเนียบ” ก็มีชื่อติดโผ “ขุนคลังรอบสอง” อีกสูตรหนึ่งที่ 11 พรรคเล็ก รับงาน-โยนหินถามทาง คือ ให้ พล.อ.ประยุทธ์ควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ “คืน” เก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้กับ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรี-หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐทฤษฎีสมคบคิดเป็นจริง-สมปรารถนา บนซากปรักหักพังของประเทศ