
พรรคก้าวไกล บี้ “ประยุทธ์” เปิดเผยสัญญาทั้งหมดเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 เพื่อให้สังคมหมดความสงสัย
วันที่ 20 มกราคม 2564 ที่รัฐสภา นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล แถลงถึงกรณีที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ร้องทุกข์กล่าวโทษ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ฐานความผิดต่อพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 จากการไลฟ์ผ่านเฟซบุ๊กถึงปัญหาการจัดซื้อวัคซีนโควิด-19 ของรัฐบาล
- มหาดไทยประกาศ ขอสละสัญชาติไทย 75 ราย แห่ไปขอถือสัญชาติสิงคโปร์
- ปลื้ม 4 มหาวิทยาลัยไทยติด TOP 100 ของโลกด้านความยั่งยืน
- บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 1 มิ.ย.นี้ ใครมีสิทธิรับวงเงินค่าซื้อสินค้า 900 บาท
- พุทธิพงษ์ รมว.ดีอีเอส แจ้งความ เอาผิด “ธนาธร” คดี 112
- ก้าวไกล ป้อง “ธนาธร” ตรวจสอบรัฐบาล จี้เปิดสัญญาวัคซีน
- ธนาธร นัดแถลงด่วน ปมถูกแจ้งความคดีอาญา ม.112
ในหัวข้อ “วัคซีนโควิด” ว่า เรามีความเห็นว่า 1.การออกมาแสดงความคิดเห็นของนายธนาธร ในกรณีดังกล่าวถือเป็นการตรวจสอบรัฐบาลเรื่องที่สำคัญมาก ๆ คือการจัดการวัคซีนและจะกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง เป็นการตรวจสอบเพื่อให้เกิดความโปร่งใส
เพื่อให้การดำเนินการเกี่ยวกับการจัดการเรื่องวัคซีนเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด ไม่ใช่เป็นการชี้นำเพื่อให้เกิดการดูถูกเกลียดชังตามที่รัฐบาลกล่าวหา เรื่องนี้ในคณะกรรมาธิการสาธารณสุข ของสภาผู้แทนราษฎร เคยตั้งคำถามว่าเหตุใดถึงเลือกบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ รับเทคโนโลยีการผลิตมาโดยที่รัฐบาลให้งบประมาณสนับสนุน
ดังนั้น เป็นการตรวจสอบโดยปกติ และ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เป็นคนแรกที่ออกมาเปิดเผยในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2563 ในพิธีเซ็นสัญญาจัดซื้อวัคซีน และได้กล่าวว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ 10 ในการพระราชทานให้บริษัทบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ เป็นผู้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีผลิตวัคซีน จึงกลายเป็นที่สนใจของสาธารณะจนถึงปัจจุบัน
“เรื่องนี้ถือเป็นการตรวจสอบ เป็นหน้าที่ของประชาชนทุกคน ไม่เฉพาะนายธนาธรที่ตั้งคำถามเรื่องนี้ ดังนั้น หน้าที่ของรัฐบาลควรออกชี้แจงข้อมูลโดยละเอียดให้เกิดความโปร่งใสว่าเหตุใดถึงใช้งบประมาณ และทำสัญญากับบริษัทเอกชนต่าง ๆ อย่างไร รวมถึงออกมาเปิดเผยสัญญาที่ทำกับบริษัทเอกชนทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับวัคซีนโควิด-19 เพื่อให้สาธารณชนหมดความสงสัย เป็นการสร้างความชอบธรรมของรัฐบาลตอบคำถามกับสังคมได้ดีที่สุด ไม่ใช่ใช้มาตรา 112 มาปิดปาก ไม่ให้เกิดการตรวจสอบเรื่องนี้กับสาธารณชน” นายชัยธวัช กล่าว
นายชัยธวัช กล่าวว่า กรณีแจ้งความมาตรา 112 แก่นายธนาธร เป็นอีกกรณีที่ตอกย้ำว่า ปัจจุบันมีการใช้มาตรา 112 และกฎหมายความมั่นคงอื่น ๆ ไม่ว่า พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ร.บ.การชุมนุมในที่สาธารณะ เป็นเครื่องมือปราบปรามทางการเมือง ปิดปากไม่ใม่ให้คนวิจารณ์ตรวจสอบรัฐบาล ปิดปากผู้เห็นต่างทางการเมือง เราพรรคก้าวไกลยังยืนยันว่าการใช้มาตรา 112 ในลักษณะนี้จะยิ่งส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชน และยิ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของสถาบันฯ ในสังคมประชาธิปไตย นี่ไม่ใช่การปกป้องสถาบันฯ ที่ถูกวิธี
“พรรคก้าวไกลเตรียมเสนอร่างกฎหมาย เพื่อแก้กฎหมายประมวลกฎหมายอาญาที่เกี่ยวกับฐานความผิดเรื่องหมิ่นประมาททั้งหมด ไม่ว่าบุคคล เจ้าหน้าที่รัฐ หรือองค์พระมหากษัตริย์ และยื่นร่างแก้ไข ร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และ ร่าง พ.ร.บ.การชุมนุมในที่สาธารณะด้วย เพื่อคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน รวมถึงรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มั่นคงในสังคมประชาธิปไตย เรายังเชื่อว่าสถาบันพระมหากษัตริย์รวมถึงสถาบันการเมืองอื่น ๆ ยังมีความชอบธรรมดำรงอยู่ในได้ในสังคมสมัยใหม่ ด้วยความยอมรับ ยินยอมพร้อมใจของประชาชน ไม่ใช่เป็นการใช้อำนาจกดบังคับ ใช้กฎหมายที่มีอัตราโทษสูงเกินกว่าเหตุ มีการบังคับใช้กฎหมายโดยไม่ถูกต้องตามทางการกฎหมายปกติ” นายชัยธวัชกล่าว
ด้านนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า คนระดับนายกฯ ต้องทำทุกอย่างให้โปร่งใส ไม่ใช่วันนี้ตนมาเรียกร้องเอาสัญญาให้สาธารณชนดู เพราะรัฐบาลนี้มีอดีตผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) อยู่ในคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึง 3 คน อย่างนั้นความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ต้องปกป้องพระเกียรติยศ คำนึงถึงสิ่งที่ตัวเองทำว่าระคายเคืองต่อเบื้องพระยุคลบาทหรือไม่
“ต้องถามกลับไปที่นายกรัฐมนตรีและพวก ต้องเอาสัญญามาเปิดเผย เพราะเงินสนับสนุนเป็นเงินภาษีของประชาชน ถ้าเป็นเงินของ พล.อ.ประยุทธ์ ผมจะไม่ว่า ถึงอย่างไรก็ต้องตาม เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสาธารณะที่ต้องเปิดเผย เอาสัญญามาก็จบ ไม่ต้องมาปากดี ทำภาพตัดแปะ ไม่เอา ถ้าบอกว่าผมเป็นขยะ หรือใครเป็นขยะ ท่านก็เป็นสวะเหมือนกัน” นายวิโรจน์กล่าว
นายวิโรจน์กล่าวว่า การเก็บเงียบไม่ตอบคำถาม และนำมาตรา 112 มาดำเนินคดีกับคนที่ตั้งคำถาม คือการทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท จริง ๆ แล้วเรื่องดังกล่าวไม่ได้เป็นประเด็นทางการเมือง เป็นเรื่องที่ประชาชนควรรู้จากการตั้งคำถาม ไม่มีใครถูก ไม่มีใครผิด คนตั้งคำถามคือการบิดเบือน หรือคนที่บิดเบือน คือพล.อ.ประยุทธ์ ตนเรียกว่าอำพราง จะอำพรางข้อมูลข้อเท็จจริงทำไม ยืนยันว่าไม่ได้บิดเบือน เพราะคนที่บิดเบือนต้องนำข้อเท็จจริงมาหักล้าง วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่ได้ดำเนินการ แต่ตนขอกล่าวหา พล.อ.ประยุทธ์ว่าอำพราง และปกปิดสัญญา