เอฟเฟ็กต์เลือกตั้งซ่อม “เมืองคอน” ปิดตำนาน “บ้านเสนพงศ์” ปชป.ไม่พ้นจุดต่ำสุด

ความพ่ายแพ้ของ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในการเลือกตั้งซ่อมเขต 3 จังหวัดนครศรีธรรมราช ต่อ “คู่ปรับเก่า” พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ส่งผลให้พรรคเก่าแก่-พรรคคนคอน “ตกต่ำสุดขีด” สุ่มเสี่ยงกลายเป็น “พรรคครึ่งร้อย” และอาจลุกลามถูก “ริบโควตา” เก้าอี้รัฐมนตรี

โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้-นครศรีธรรมราช แม้จะเป็นเมืองหลวง-ฐานเสียงพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีปูชนียบุคคล-นักการเมืองหนุ่มไฟแรง-อนาคตไกลแจ้งเกิดที่นี่มากมาย อาทิ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ

ทว่ากลับต้องพ่ายจะแจ-แพ้ย่อยยับ ให้กับพรรคพลังประชารัฐ ที่งัด “ท่าไม้ตาย” นโยบาย-ระบอบ “ประยุทธ์นิยม” ทั้งโครงการคนละครึ่ง-เราชนะ “เกทับ” นโยบาย “ประกันรายได้เกษตร” ให้ถอยรูด-กู่ไม่กลับ

ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากความพ่ายแพ้ของ “พงศ์สินธุ์ เสนพงศ์” น้องชาย “เทพไท เสนพงศ์” ในการเลือกตั้งซ่อมเขต 3 เมืองคอน กลายเป็นฉากจบ-ปิดตำนาน “บ้านใหญ่เสนพงศ์” อดีต ส.ส.เมืองคอน 4 สมัย-ผูกขาด

กลับตาลปัตร-หักปากกาเซียน “บ้านใหญ่เสนพงศ์” ถวายใส่พานให้กับ “อาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ” ส.ส.ป้ายแดง-ใหม่ถอดด้าม แห่งพลังประชารัฐ เก็บแต้ม-เพิ่มเสียงให้กับ “พรรคบิ๊กป้อม” ทะลุ 122 เสียง

Advertisment

ทำให้จังหวัดนครศรีธรรมราช 8 เขตเลือกตั้ง พรรคพลังประชารัฐ สามารถตาม “เขย่าบัลลังก์” แชมป์เก่า-ประชาธิปัตย์ จนมีที่นั่งเท่ากัน คือ 4 ต่อ 4 ที่นั่ง ได้แก่

พรรคพลังประชารัฐ เขต 1 นายรงค์ บุญสวยขวัญ เขต 2 นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง เขต 3 นายอาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ และเขต 7 นายสายัณห์ ยุติธรรม

ขณะที่ พรรคประชาธิปัตย์ เขต 4 นายประกอบ รัตนพันธ์ เขต 5 นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ เขต 6 นายชัยชนะ เดชเดโช และเขต 8 น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล

ที่สำคัญ วิกฤตประชาธิปัตย์-พรรคปักษ์ใต้ อาจจะยัง “ไม่ถึงจุดต่ำสุด” หากศาลรัฐธรรมนูญตีความคุณสมบัติ ส.ส. ของ “ลูกหมี” ชุมพล จุลใส ส.ส.เขต 1 ชุมพร และ “ถาวร เสนเนียม” ส.ส.เขต 6 สงขลา 2 ขุนพลพรรคสะตอ “พ้นสภาพ” การเป็น ส.ส.

Advertisment

ศึกพรรคร่วมรัฐบาล ระหว่างพรรคพลังประชารัฐ-ประชาธิปัตย์ จะกลับมาระเบิดศึกอีกครั้ง โดยมีพรรคภูมิใจไทยกำลัง “ชั่งใจ” กับมารยาททางการเมืองที่ถูกพลังประชารัฐ “หั่นสะบั้น” ลง

จังหวัดชุมพรมีทั้งหมด 3 เขต เป็นของพรรคประชาธิปัตย์ 2 เขต ได้แก่ เขต 1 นายชุมพล เขต 2 นายสราวุฒิ อ่อนละมัย ขณะที่เขต 3 เป็นของนายสุพล จุลใส แห่งพรรคสุเทพ-รวมพลังประชาชาติไทย

สำหรับจังหวัดสงขลามีทั้งหมด 8 เขตพรรคประชาธิปัตย์ “เสียวสันหลัง” ที่จะสูญเสียจนเหลือ 2 ที่นั่ง เพราะประชาธิปัตย์ มีเพียง 3 ที่นั่ง ได้แก่ เขต 5 นายเดชอิศม์ ขาวทอง เขต 6 นายถาวร และเขต 8 พล.ต.ต.สุรินทร์ ปาลาเร่

ขณะที่พรรคพลังประชารัฐยึดสงขลาไปแล้ว “ครึ่งจังหวัด” ได้แก่ เขต 1 นายวันชัย ปริญญาศิริ เขต 2 นายศาสตรา ศรีปาน เขต 3 นายพยม พรหมเพชร และเขต 4 ร.ต.อ.อรุณ สวัสดี

ส่วนเขต 7 ภูมิใจไทย (ภท.) ของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค “สอดแทรก” มาได้ 1 เก้าอี้

ขณะที่ภาพรวมทั้งจังหวัดภาคใต้ 14 จังหวัด 50 ที่นั่ง พรรคประชาธิปัตย์ “เก้าอี้หด” เหลือเพียง 21 ที่นั่ง-ต่ำกว่าครึ่ง ได้แก่

1.จังหวัดกระบี่ 2 เขตเลือกตั้ง มี ส.ส. 1 เขต คือ นายสาคร เกี่ยวข้อง 2.ตรัง 3 เขตเลือกตั้ง มี ส.ส. 2 เขต ได้แก่ เขต 2 นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย เขต 3 น.ส.สุณัฐชา โล่สถาพรพิพิธ

จังหวัดปัตตานี “เก้าอี้โทน” ของพรรคประชาธิปัตย์ คือ เขต 1 นายอันวาร์ สาและ-กบฏประชาธิปัตย์ จากทั้งหมด 4 เก้าอี้ ซึ่งมีก็เหมือนไม่มี เพราะเป็น “ลูกนอกไส้” จุรินทร์-เฉลิมชัย

เก้าอี้โทนอีก 2 ตัว 2 จังหวัด คือ นางกันตวรรณ ตันเถียร ส.ส.เขตเดียว ในจังหวัดพังงา และเขต 3 พัทลุง นายนริศ ขำนุรักษ์

จังหวัดนราธิวาส พรรคประชาธิปัตย์ “สูญพันธุ์” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะไม่มีผู้แทนของประชาธิปัตย์ในจังหวัดปลายด้ามขวาน แม้แต่เก้าอี้เดียว จากทั้งหมด 4 เก้าอี้ ตกเป็นของพลังประชารัฐ และประชาชาติ พรรคละ 2 เก้าอี้

รวมถึงจังหวัดเพชรบุรีทั้งหมด 4 ที่นั่ง-ภูเก็ตทั้งหมด 2 ที่นั่ง-ยะลาทั้งหมด 3 ที่นั่ง-ระนอง 1 ที่นั่ง-สตูล 2 ที่นั่ง ที่ไม่มีที่นั่งให้กับ “พรรคคนใต้”

มีเพียงจังหวัดสุราษฎร์ธานีเท่านั้นที่พอจะ “กู้หน้า” ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ ที่ยึด “ยกจังหวัด” 6 ที่นั่ง

แหล่งข่าวระดับสูงในพรรคประชาธิปัตย์ ยอมรับว่า “ประชาธิปัตย์เลือดยังไหลไม่หยุด ยังมี ส.ส.ที่จะไม่อยู่กับพรรคในการเลือกตั้งครั้งหน้า ขณะที่อดีต ส.ส.-ผู้สมัคร ส.ส.ที่สอบตกเมื่อการเลือกตั้งมีนาคม 2562 เมื่อถึงใกล้วันเลือกตั้งครั้งหน้าเมื่อไหร่ก็จะไม่อยู่ร่วมหัวจมท้ายกับประชาธิปัตย์ เพราะรู้ว่าการเลือกตั้งครั้งหน้า กระแสความนิยมของพรรคประชาธิปัตย์จะตกต่ำลงมากไปกว่านี้ ยิ่งหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ไม่สามารถตั้ง ส.ส.ร.เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับได้ ประชาธิปัตย์ยิ่งไม่เหลือความชอบธรรมในการอยู่ร่วมรัฐบาล”

พรรคประชาธิปัตย์จึง “ไม่มีทางเลือก” นอกจาก “ทางรอดเดียว” คือ การหาจุดเปลี่ยนให้กับพรรค เพื่อกู้วิกฤต-กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง

ไม่เช่นนั้น หากอยู่ร่วมรัฐบาลไปวัน ๆ อิ่มอกอิ่มใจกับนโยบายประกันรายได้เกษตรทุกครั้งที่หาเสียงเลือกตั้ง ประชาธิปัตย์คงเหลือเพียงตำนาน-นิทานปรัมปราให้นักการเมืองรุ่นหลังได้เอาเยี่ยง-แต่ไม่เอาอย่าง