10 ธันวาคม 2564 เป็นวันครบรอบ 89 ปี ที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงลงพระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อเป็นหลักในการปกครองประเทศให้แก่ปวงชนชาวไทย
89 ปีนับจากวันที่รัชกาลที่ 7 พระราชทานกฎหมายสูงสุดฉบับแรกอันเป็นฉบับถาวรให้แก่ชาวไทย รัฐธรรมนูญมีการยกร่างขึ้นใหม่รวมทั้งสิ้น 20 ฉบับ โดยรัฐธรรมนูญฉบับที่กำลังใช้อยู่ในปัจจุบัน ก่อนจะสิ้นปีที่สองของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ซึ่งรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ก็มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
รัฐธรรมนูญไทย 20 ฉบับ
ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ถึงปัจจุบัน พ.ศ. 2562 รัฐธรรมนูญไทยมีมาแล้ว 20 ฉบับ ซึ่ง ผศ.ดร.สมหมาย จันทร์เรือง เคยสรุปวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ สาเหตุที่ถูกยกเลิก และสาระสำคัญไว้ในมติชน ดังนี้
ฉบับที่ 1 คือ พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2475 ถูกยกเลิก เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 ด้วยสาเหตุประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวร
สาระสำคัญเป็นรัฐธรรมนูญฉบับเดียวที่ใช้คำนำหน้าว่า “พระราชบัญญัติ” เหมือนกฎหมายสามัญทั่วไป
ฉบับที่ 2 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 ถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2489 ด้วยสาเหตุประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2489
สาระสำคัญ เป็นรัฐธรรมนูญฉบับถาวรที่มีระยะเวลาใช้บังคับนานที่สุด 13 ปี 4 เดือน 29 วัน
ต่อมามีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 3 ครั้ง คือ
ครั้งที่ 1 แก้ไขเพิ่มเติมว่าด้วยนามประเทศ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2482 โดยเปลี่ยนนามประเทศจาก “สยาม” เป็น “ประเทศไทย” และใช้ประเทศไทยตั้งแต่นั้นมา
ครั้งที่ 2 แก้ไขเพิ่มเติมว่าด้วยบทเฉพาะกาล เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2483 ขยายเวลาจาก 10 ปี เป็น 20 ปี ที่กำหนดให้สมาชิกประเภทที่ 2 (แต่งตั้ง) หมดไป เหลือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งประเภทเดียว
ครั้งที่ 3 แก้ไขเพิ่มเติมว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2485 ขยายเวลา ส.ส. ออกไปอีกคราวละไม่เกิน 2 ปี โดยขยายเวลาออกไป 2 ครั้งใน พ.ศ. 2485 และ พ.ศ. 2487
ฉบับที่ 3 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2489 ถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 ด้วยสาเหตุรัฐประหารโดยพลโทผิน ชุณหะวัณ
สาระสำคัญ รัฐสภาประกอบด้วย 2 สภา ได้แก่ พฤฒสภา และสภาผู้แทนราษฎร รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีการใช้คำพฤฒสภาแทนวุฒิสภา เพียงฉบับเดียว
ฉบับที่ 4 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2490 ถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2492 ด้วยสาเหตุประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวร
สาระสำคัญ เป็นรัฐธรรมนูญที่คณะรัฐประหารร่างไว้ล่วงหน้าโดยเอาตุ่มแดงทับไว้ จึงเรียกว่า “รัฐธรรมนูญใต้ตุ่ม”
ฉบับที่ 5 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2492 ถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2494 ด้วยสาเหตุ พลเอก ผิน ชุณหะวัณ ยึดอำนาจการปกครองครั้งที่ 2
สาระสำคัญ ยกร่างโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ รัฐสภาประกอบด้วยวุฒิสภากับสภาผู้แทนราษฎร และมิได้กำหนดว่านายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง
ฉบับที่ 6 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495 ประกาศใช้เมื่อ 8 มีนาคม 2495 ถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2501 ด้วยสาเหตุปฏิวัติภายใต้การนำของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
สาระสำคัญ ได้นำรัฐธรรมนูญฉบับที่ 2 ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 มาใช้บังคับไปพลางก่อน เพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ฉบับที่ 7 คือ ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2502 ถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2511 ด้วยสาเหตุประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511
สาระสำคัญ มีการใช้อำนาจเด็ดขาดของนายกรัฐมนตรี สั่งประหารชีวิต จำคุก หรือยึดทรัพย์สิน ตามมาตรา 17 ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้
ฉบับที่ 8 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2511 ถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2514 ด้วยสาเหตุปฏิวัติภายใต้การนำของจอมพลถนอม กิตติขจร
สาระสำคัญ มีการถ่วงดุลอำนาจระหว่างอำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจบริหาร โดยนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีจะเป็นสมาชิกรัฐสภาในขณะเดียวกันมิได้
ฉบับที่ 9 คือ ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2515 ถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2517 ด้วยสาเหตุประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่
สาระสำคัญ รัฐสภามีสภาเดียว ได้แก่ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และมีการใช้อำนาจเด็ดขาด จนเกิดการเรียกร้องประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516
ฉบับที่ 10 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2517 ถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ด้วยสาเหตุยึดอำนาจโดยคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน จากการนำของพลเรือเอกสงัด ชลออยู่
สาระสำคัญ มีการใช้คำว่า “ปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน” เป็นครั้งแรกในการยึดอำนาจ
ฉบับที่ 11 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2519 ถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2520 ด้วยสาเหตุปฏิวัติโดยพลเรือเอกสงัด ชลออยู่
สาระสำคัญ มีการยึดอำนาจซ้ำ และรัฐสภามีสภาเดียว ได้แก่ สภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน
ฉบับที่ 12 คือ ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2520 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2520 ถูกยกเลิก เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2521 ด้วยสาเหตุปฏิวัติซ้ำโดยพลเรือเอกสงัด ชลออยู่
สาระสำคัญ ยังคงมีสภาเดียว ได้แก่ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ฉบับที่ 13 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2521 ถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 ด้วยสาเหตุยึดอำนาจโดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) นำโดยพลเอกสุนทร คงสมพงษ์
ฉบับที่ 14 คือ ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2534 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2534 ถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2534 ด้วยสาเหตุประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534
สาระสำคัญ เป็นการปกครองด้วยอำนาจของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.)
ฉบับที่ 15 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2534 ถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2540 ด้วยสาเหตุประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540
สาระสำคัญ มีความเป็นประชาธิปไตยมากฉบับหนึ่ง โดยมี 2 สภา ได้แก่ วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร รวมถึงมีการแก้ไขเพิ่มเติมทั้งหมด 6 ฉบับ
ฉบับที่ 16 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2540 ถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ด้วยสาเหตุปฏิวัติภายใต้การนำของ พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน
สาระสำคัญ เป็นรัฐธรรมนูญที่ประชาชนมีส่วนร่วมและได้รับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพมากที่สุดฉบับหนึ่ง
ฉบับที่ 17 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2549 ถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2550 ด้วยสาเหตุประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่
สาระสำคัญ เป็นการใช้อำนาจโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.)
ฉบับที่ 18 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2550 ถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2557 ด้วยสาเหตุการยึดอำนาจการปกครองโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
สาระสำคัญเป็นการยกร่างโดยคณะผู้ยึดอำนาจ และมีการออกเสียงประชามติ
ฉบับที่ 19 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2557 ถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2560 ด้วยสาเหตุมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่
สาระสำคัญ เป็นการใช้อำนาจเด็ดขาดตาม มาตรา 44 และมาตรา 48
ฉบับที่ 20 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2560 และยังใช้อยู่ในปัจจุบัน
สาระสำคัญ เป็นการจัดระเบียบการปกครอง การตรวจสอบโดยองค์กรอิสระ และมีกลไกปฏิรูปประเทศในด้านต่าง ๆ
จากรัฐธรรมนูญไทยทั้ง 20 ฉบับ แสดงถึงปัญหาและอุปสรรคหลายประการ โดยมีการยกเลิกรัฐธรรมนูญจากการยึดอำนาจหลายครั้ง
รัฐประหาร 13 ครั้ง
สิ่งที่ “คณะปฏิวัติ” มักใช้เป็น “ข้ออ้าง” เปลี่ยนมืออำนาจ ได้แก่ 1.การทุจริต 2.การจาบจ้วงสถาบัน-เกิดความแตกแยกในหมู่ประชาชน หากย้อนกลับไปในการรัฐประหาร จำนวน 13 ครั้ง มีปัจจัยภายใน-ภายนอกประเทศที่เป็นตัวเร่งให้เกิดการปฏิวัติซ้ำ-ซ้อน และรัฐประหารตัวเองในช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครองในหมู่ “คณะราษฎร” ที่มาจากสายพลเรือน ทหารบก-ทหารเรือ
ครั้งที่ 1 วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 ครั้งที่ 2 วันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 ครั้งที่ 3 วันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ครั้งที่ 4 วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2491 ครั้งที่ 5 วันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 ครั้งที่ 6 วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500
ครั้งที่ 7 วันที่ 20 ตุลาคม 2501 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ หัวหน้าคณะปฏิวัติ ใช้ “ข้ออ้าง” ภัยคอมมิวนิสต์คุกคามประเทศไทยอย่างรุนแรง ในการกุมอำนาจ
ครั้งที่ 8 วันที่ 17 พฤศจิกายน 2514 จอมพลถนอม กิตติขจร หัวหน้าคณะปฏิวัติ ยกปัจจัยภายนอกและภายใน 1.สถานการณ์ภายนอกประเทศเกิดการยุยงสนับสนุนให้ผู้ก่อการร้าย ก่อความยุ่งยากอยู่ ณ ที่ต่าง ๆ ของประเทศไทย เป็นภยันตรายต่อประเทศ สถาบันพระมหากษัตริย์และประชาชน ทั้งมุ่งจะเปลี่ยนระบอบการปกครองไปสู่ระบอบอื่น ซึ่งมิใช่ระบอบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
2.สถานการณ์ภายในประเทศเกิดการยุยงให้ประชาชนและสถาบันต่าง ๆ เป็นปฏิปักษ์และกระด้างกระเดื่องต่อรัฐบาล ให้นักศึกษาเดินขบวน ให้กรรมกรนัดหยุดงาน
“การยึดอำนาจครั้งนี้ก็เพื่อรักษาสถาบันที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ ให้ดำรงคงอยู่ตลอดไป องค์พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ได้รับอารักขาจากคณะปฏิวัติอย่างปลอดภัยแล้วทุกประการ”
ครั้งที่ 9 วันที่ 6 ตุลาคม 2519 พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน 1.นิสิตนักศึกษาบางกลุ่มได้กระทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เหยียบย่ำจิตใจของคนไทยทั้งชาติ โดยเจตจำนงทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการของคอมมิวนิสต์ที่จะเข้ายึดครองประเทศ ทั้งนี้ เพื่อความอยู่รอดของชาติและมิให้ประเทศไทยต้องตกไปเป็นเหยื่อของจักรวรรดินิยมคอมมิวนิสต์
2.นักการเมืองที่อยู่ในพรรคเดียวกันแตกแยก ไม่ยึดถืออุดมคติของพรรค ไม่ปฏิบัติตามอาณัติที่ประชาชนมอบไว้ให้ ซึ่งพ้นวิสัยระบอบประชาธิปไตยจะดำเนินไปตามวิถีรัฐธรรมนูญได้ “การยึดอำนาจครั้งนี้เพื่อรักษาสถาบันที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐให้ดำรงอยู่ตลอดไป องค์พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ได้รับการอารักขาจากคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินอย่างปลอดภัยแล้วทุกประการ”
ครั้งที่ 10 วันที่ 20 ตุลาคม 2520 พล.ร.อ.สงัด ยึดอำนาจเป็นคำรบที่สองเพราะ 1.เกิดความแตกแยกในหมู่ข้าราชการ ประชาชน 2.การเศรษฐกิจและการลงทุนของชาวต่างประเทศ ลดลงและไม่แน่นอน
ครั้งที่ 11 ปฏิวัติ 23 กุมภาพันธ์ 2534 พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ 1.พฤติการณ์การฉ้อราษฎร์บังหลวง 2.ข้าราชการการเมืองใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงข้าราชการประจำผู้ซื่อสัตย์สุจริต 3.รัฐบาลเป็นเผด็จการทางรัฐสภา 4.การทำลายสถาบันทางทหาร 5.การบิดเบือนคดีล้มล้างสถาบัน
“จากเหตุผลและความจำเป็นทั้ง 5 ประการดังกล่าว คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ไม่สามารถที่จะปล่อยให้สภาวะระส่ำระสายของชาติบ้านเมืองเกิดขึ้นรุนแรงต่อไปอีกได้ เพื่อดำรงไว้ซึ่งความมั่นคงของสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข จึงจำเป็นต้องใช้วิธีเข้ายึดและควบคุมอำนาจปกครองประเทศ”
ครั้งที่ 12 วันที่ 19 กันยายน 2549 พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน 1.การบริหารราชการแผ่นดิน โดยรัฐบาลรักษาการปัจจุบันได้ก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้ง แบ่งฝ่าย สลายความรู้รักสามัคคีของชนในชาติ อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย ต่างฝ่ายต่างมุ่งหวังเอาชนะ และมีแนวโน้มนับวันจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
“ประชาชนส่วนใหญ่เคลือบแคลงสงสัยการบริหารราชการแผ่นดิน อันส่อไปในทางทุจริตประพฤติมิชอบอย่างกว้างขวาง หน่วยงาน องค์กรอิสระถูกครอบงำทางการเมือง ตลอดจนหมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแห่งองค์พระมหากษัตริย์”
ครั้งที่ 13 วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 1.เกิดสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่กรุงเทพมหานคร-ปริมณฑล และหลายพื้นที่ เป็นผลให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต บาดเจ็บและเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน
- พลิกข้ออ้าง รัฐประหาร 13 ครั้ง เปลี่ยนรูปรัฐ ทุจริต-จาบจ้วงสถาบัน
- 3 ป. ในฉากรัฐประหาร 15 ปี 19 กันยายน
6 รูปแบบของทุกรัฐประหาร
เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา กลุ่ม Re : Solution ถึงเวลารัฐธรรมนูญ ผู้รณรงค์ล่าชื่อแก้รัฐธรรมนูญ “ขอคนละชื่อรื้อระบอบประยุทธ์” จัดกิจกรรมออนไลน์รำลึกครบรอบ 7 ปีการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 เฟซบุ๊กผ่านไลฟ์ โดยมี 7 บุคคลสำคัญ มาร่วมถอดบทเรียนของสังคมไทยจากการรัฐประหาร 2557 ที่สืบทอดอำนาจผ่านรัฐธรรมนูญ 2560 มาจนถึงปัจจุบัน
รศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บรรยายในหัวข้อ “รัฐไทย vs รัฐทหาร : ทำไมยังไม่หย่าขาดกันเสียที” โดยพาย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์การเมืองไทยตั้งแต่การรัฐประหารปี 2490 ซึ่งพบว่ามีแบบแผนความพยายามสถาปนาอำนาจที่คล้าย ๆ กันอยู่ แบ่งออกได้เป็น 6 ประการด้วยกัน คือ
1) กำหนดให้นายกรัฐมนตรีสามารถมาจากคนนอกได้ จนได้ผู้นำทหารหรือคนที่ฝ่ายชนชั้นนำจารีตยอมรับขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี
2) จัดตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติกับคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมา เขียนและผ่านรัฐธรรมนูญที่จะให้อำนาจกับกองทัพมากยิ่งขึ้น
3) มีวุฒิสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหาร ที่บางครั้งก็มีอำนาจมากกว่า ส.ส. บางยุคบางสมัยก็ให้มีอำนาจเท่ากับ ส.ส.
4) การออกแบบกฎหมายพรรคการเมืองและระบบการเลือกตั้ง ให้พรรคการเมืองอ่อนแอ เกิดพรรคเล็กพรรคน้อยในสภาขึ้นจำนวนมาก ก่อนดึงเสียงเอาพรรคขนาดกลางและขนาดเล็กเข้ามาร่วมรัฐบาลภายใต้การนำของทหาร
5) พยายามขยายอำนาจของกองทัพออกไปอย่างกว้างขวาง เข้าไปในปริมณฑลทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคมมากยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีการขยายออกไปถึงขั้นส่งเสริมการท่องเที่ยว ส่งเสริมเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งนี่ไม่ใช่อำนาจหน้าที่
6) ก็คือการออกกฎหมายจำกัดอำนาจของรัฐบาลจากการเลือกตั้งเหนือกิจการภายในของกองทัพ ให้มีอำนาจจำกัดในการโยกย้ายตำแหน่งนายพลประจำปี หรือการแบ่งสรรงบประมาณจากกระทรวงกลาโหม
รศ.พวงทองระบุว่า การออกแบบอำนาจทั้ง 6 ประการนี้ ฝังรากลึกอยู่ในระบบการเมืองของรัฐไทยมานานแล้ว โดยใช้รัฐธรรมนูญที่เขียนเองมาเป็นข้ออ้างเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการกระทำที่ไม่ชอบธรรม
“ประการสำคัญ ดิฉันอยากจะบอกว่ารัฐบาลทหารอาจจะเปลี่ยนผู้นำได้หรือบางครั้งเขาอาจจะเชิญเอาพลเรือนเข้ามาเป็นผู้นำรัฐบาลได้ แต่รัฐธรรมนูญและกฎหมายที่พวกเขาพยายามสร้างกันขึ้นมาจะมีอายุยืนยาวนานกว่าผู้นำรัฐบาล และก็จะถูกใช้เพื่อสนับสนุนรัฐบาลที่ชนชั้นนำจารีตสนับสนุน และจะกลายเป็นเครื่องมือบ่อนเซาะอำนาจของรัฐบาลที่พวกเขาไม่ต้องการ ดั่งเช่นที่เราเห็นมาแล้วในปี 2549 ที่กลไกต่าง ๆ ของชนชั้นนำฝ่ายจารีตพยายามช่วยกันเล่นงานรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
ดังนั้นการที่จะเอาทหารออกจากการเมืองไทย ออกจากโครงสร้างอำนาจของรัฐไทยได้ ต้องจัดการกับรัฐธรรมนูญของ คสช. ให้ได้ ถ้าเราล้มรัฐธรรมนูญนี้ได้ ขั้นต่อไปก็คือการไปจัดการกับกฎหมายลูกอีกจำนวนมากที่ให้อำนาจกับทหารแทรกซึมการเมืองไทยมาเป็นเวลายาวนาน” รศ.พวงทองกล่าว
- 15 ปี 19 กันยา ยึดอำนาจทักษิณ จุดเปลี่ยน 3 ป.ในสายตา “เสรีพิศุทธ์”
-
7 คน ร่วมถอดบทเรียน 7 ปีรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2564 : ประเทศย่อยยับ