แตกพรรค ฝ่ายประยุทธ์ ก้าวไกลตัดแต้มเพื่อไทย แลนด์สไลด์ยาก

เรื่องรอง

 

ท้ายที่สุด “สุรชาติ เทียนทอง” จากพรรคเพื่อไทย ก็เข้าวินชนะเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม.เขต 9 หลักสี่-จตุจักร

พรรคที่ประกาศตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตย เพื่อไทย-ก้าวไกล เคลมทันทีว่า ประชาชนหมดศรัทธา-หมดเวลาของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยบอกว่า เป็นบันไดขั้นแรกนำไปสู่การแลนด์สไลด์ในการเลือกตั้งใหญ่

“ภูมิธรรม เวชยชัย” ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นักยุทธศาสตร์ประจำพรรค วิเคราะห์ชัยชนะของพรรคเพื่อไทย สวนทางแชมป์เก่าพรรคพลังประชารัฐว่า การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ที่พรรคพลังประชารัฐพ่ายแพ้การเลือกตั้งสะท้อนว่า ความนิยมต่อตัว พล.อ.ประยุทธ์ ถึงจุดเสื่อม

ทุกคนต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เพราะประชาชนรู้แล้วว่า รัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาวิกฤตต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่พรรคเพื่อไทยคิดว่าจะต้องเดินเกมการเมืองอย่างไร เพื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ลงจากตำแหน่ง แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเป็นคนคิด เนื่องจากเป็นอุปสรรค เป็นตัวปัญหา พล.อ.ประยุทธ์จะทนอยู่ได้อย่างไร

แต่ในมุม “สติธร ธนานิธิโชติ” ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย จากสถาบันพระปกเกล้า ที่ลงทำโพลเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ด้วยมองว่า ผลการเลือกตั้งซ่อมยังไม่อาจชี้ชัดว่า พรรคเพื่อไทยจะแลนด์สไลด์-พล.อ.ประยุทธ์ยังไม่เสื่อมมนต์ขลัง

“ก็เสื่อมมนต์ขลัง เล่นมุขเดิมไม่ได้ จะมาสงบจบที่ลุงตู่แล้วได้ความนิยม มันไม่ใช่แล้ว ต้องหามนต์ใหม่ แต่ถามว่า พล.อ.ประยุทธ์สิ้นชื่อหรือยัง… ยัง คนที่พร้อมจะเลือก พล.อ.ประยุทธ์ ยังมีอยู่เยอะ เพียงแต่ต้องหาทางให้คนพวกนี้เต็มใจเลือก สบายใจที่จะเลือก”

“แต่ถ้าเล่นมุขเก่า ใช้นักการเมืองหน้าเก่า ๆ จบ ไปต่อยาก”

สติธรวิเคราะห์ต่อว่า พอผลทางการออกมา คนที่ไม่เลือก พล.อ.ประยุทธ์ แล้วไปกาให้พรรคเพื่อไทย-ก้าวไกล 60% ส่วนกาฝ่ายเชียร์ พล.อ.ประยุทธ์ 40% เมื่อมาไล่ดู ปรากฏว่าผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งไม่เยอะ และคะแนนพรรคประชาธิปัตย์เดิม 1.6 หมื่นคะแนนในการเลือกตั้งปี 2562 เอาเข้าจริงเราไปบวกผิดมาตลอดหรือเปล่า

เลือกตั้งปี 2562 เราเอา 1.6 หมื่นคะแนน ไปบวกให้กับฝั่ง พล.อ.ประยุทธ์ จึงห่างกับฝ่ายไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ นิดเดียว แต่เราต้องตีความใหม่ว่า เสียง 1.6 หมื่นคะแนนที่เคยลงให้พรรคประชาธิปัตย์ คือคนที่ไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ เพราะขณะนั้น “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรค ประกาศไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์

ดังนั้น เมื่อเอา 1.6 หมื่นคะแนนของพรรคประชาธิปัตย์ ไปรวมกับฝ่ายประชาธิปไตย จึงมีเสียง 60% ต่อ 40% อยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว เราไปตีความผิดเอง เพราะพรรคประชาธิปัตย์มาร่วมรัฐบาลทีหลัง เมื่อถึงการเลือกตั้งซ่อมในปัจจุบันก็เป็นฐานเก่า 60% ต่อ 40% เหมือนเดิม ขึ้นอยู่กับว่าคะแนนจะกระจายไปทางไหน

“และการเลือกตั้งซ่อมเที่ยวนี้ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง หายไป 25% เท่ากับ 4 หมื่นเสียง ถือว่าเยอะ เราจะรู้ได้อย่างไรว่า 4 หมื่นเสียงเลือกฝ่ายไหน อาจจะเป็นพวกที่รอ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ได้ เมื่อไหร่จะมีพรรคใหม่มาเสียที เพราะไม่เอา พรรคกล้า พรรคไทยภักดี พรรคพลังประชารัฐ”

ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ยังไม่สิ้นมนต์ขลัง แต่ต้องหามนต์ใหม่มาเล่น มนต์ใหม่ คือ พรรคใหม่ หรือ คนใหม่ เพราะอาจเป็นไปได้ว่าคนไม่เอาพรรคพลังประชารัฐแบบทุกวันนี้ ต้องยกเครื่องใหม่ รีแบรนด์หนัก ๆ สร้างภาพ กทม.ใหม่

“คนเลือก พล.อ.ประยุทธ์ ผ่านพรรคไทยภักดี พรรคพลังประชารัฐ กับพรรคกล้า รวมกัน 3.4 หมื่นคะแนนคือคนที่เลือก พล.อ.ประยุทธ์ อย่างเปิดเผย และพลังเงียบที่ยังไม่ออก เพราะไม่ค่อยถูกใจยังมีอีกเท่าไหร่”

ส่วนที่พรรคเพื่อไทย “ตีปี๊บ” ประกาศแลนด์สไลด์ หลังคว้าชัยเลือกตั้งซ่อม “สติธร” กระตุกผู้ชนะว่า อย่าเพิ่งมั่นใจ

“พรรคเพื่อไทยใจเย็น ๆ ขนาดหลักสี่ยังเจอแบบนี้ โชคดีที่เขตจตุจักรไม่มาเลือกนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี พรรคกล้าตามเป้า เพราะคนจตุจักรมานิดเดียว แต่นายอรรถวิชช์แพ้ที่หลักสี่เป็นหมื่นคะแนน”

“แต่อันดับสองพรรคก้าวไกล มานิ่ง ๆ ทั้งหลักสี่และจตุจักร มีคะแนนเป็นหมื่นเท่ากัน พรรคแบบนี้น่ากลัว แปลว่าไม่มีฐานจัดตั้ง แต่มีกระแสล้วน ๆ ถ้ามีคะแนนเป็นหมื่นทุกเขต ใน กทม. เท่ากับมี 5 แสนคะแนนอยู่ในมือ คนที่พร้อมจะเลือกก้าวไกลเขตละหมื่นคน คะแนนปาร์ตี้ลิสต์จะได้เป็นจำนวนมาก”

“พิษภัยก็จะกลับมาที่พรรคเพื่อไทย เพราะพรรคก้าวไกลจะตัดคะแนนพรรคเพื่อไทย ไม่พอ แล้วจะตัดเยอะ แนวโน้มจะตัดเยอะขึ้น ถ้าคนมาใช้สิทธิเลือกตั้งมากขึ้น จะตัดมากกว่านี้ ถ้าพรรคเพื่อไทยแก้เกมไม่ออก”

พรรคเพื่อไทย ตัดคะแนนกับพรรคก้าวไกล เป็น “ของตาย”

“แต่อีกฝ่ายหนึ่งที่สนับสนุนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ถ้าเขาคิดแผนไม่ตัดแต้มกันขึ้นมา แบ่งโซนกันเล่น มีหลบ-มีถอย สู้แบบมียุทธศาสตร์ พรรคเพื่อไทยตายเลย” สติธรทิ้งท้าย