เปิดประวัติ เนตร นาคสุข สมัครเป็น ป.ป.ช. ก้าวข้ามคดีไม่ฟ้องบอส วรยุทธ

เปิดประวัติ เนตร นาคสุข สมัครเป็น ป.ป.ช. ก้าวข้ามคดีไม่ฟ้องบอส วรยุทธ

เนตร นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุด อายุ 67 ปี เป็นผู้สมัครคนแรกที่เข้ารับการสรรหาเป็นกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

ชื่อของ “เนตร” กลายเป็นข่าวใหญ่ในการสมัครเป็น ป.ป.ช.เพราะปัจจุบันเขาถูกสอบสวนวินัยร้ายแรง กรณีสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส เมื่อปี 2563 ในคดีขับรถชนตำรวจเสียชีวิตเมื่อปี 2555

ในประวัติชีวิตการรับราชการ เขาผ่านงานอัยการ สำนักงานอัยการจังหวัดแพร่ ตำแหน่ง อช.อจ.ช. ระยะเวลา 2 ปี สำนักงานอัยการจังหวัดสวรรคโลก ตำแหน่ง ร.อจ. ระยะเวลา 2 ปี

สำนักงานอัยการจังหวัดสงขลา ตำแหน่ง อจ.สคช. ระยะเวลา 1 ปี สำนักงานอัยการจังหวัดบุรีรัมย์แผนกคดีเด็กและเยาวชนฯ ตำแหน่ง อัยการจังหวัด ระยะเวลา 1 ปี

สำนักงานอัยการแขวงสุรินทร์ ตำแหน่ง อัยการจังหวัด ระยะเวลา 1 ปี สำนักงานอัยการจังหวัดน่าน ตำแหน่ง อัยการจังหวัด ระยะเวลา 1 ปี

สำนักงานอัยการจังหวัดพิจิตร ตำแหน่ง อัยการจังหวัด ระยะเวลา 1 ปี สำนักงานอัยการภาค 6 ตำแหน่ง รองอธิบดีอัยการ ระยะเวลา 2 ปี สำนักงานคดีปกครองเชียงใหม่ ตำแหน่ง อธิบดีอัยการ ระยะเวลา 1 ปี -สำนักงานคดีศาลสูง ตำแหน่ง อธิบดีอัยการ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560  ก่อนจะขึ้นเป็นรองอัยการสูงสุด ในช่วงที่ “วงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์” เป็นอัยการสูงสุด

ADVERTISMENT

เขาเป็นผู้ลงนามคำสั่งชี้ขาดไม่อุทธรณ์คดีหมายเลขดำที่ อท.245/2561 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายคนโต นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

ในคดีร่วมกันฟอกเงินทุจริตปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทย จำนวน 10 ล้านบาท ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน และสมคบกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 5,9, 60 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2558 มาตรา 10 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91

สำหรับกรณีของ “บอส วรยุทธ” ที่เป็นคดีใหญ่ของ “เนตร นาคสุข” หลังจากสั่งไม่ฟ้อง จนเกิดเป็นประเด็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ในสังคม นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุด (อสส.) มีคำสั่ง แต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบการพิจารณาสั่งคดีดังกล่าว รวมทั้งสิ้น 7 คน ประกอบด้วย เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2563 ประกอบด้วย

  1. นายสมศักดิ์ ติยะวานิช รองอัยการสูงสุด เป็นหัวหน้าคณะทำงาน
  2. นายสิงห์ชัย ทนินซ้อน อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา
  3. นายชาติพงศ์ จีระพันธุ อธิบอัยการสำนักงานคดีเศรษฐกิจ และทรัพยากร
  4. นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญาธนบุรี
  5. นายชาญชัย ชลานนท์นิวัฒน์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา
  6. นายอิทธิพร แก้วทิพย์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา เป็นเลขานุการคณะทำงาน
  7. นายประยุทธ เพชรคุณ อัยการพิเศษสำนักงานคดีอาญา 3 ในฐานะรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นคณะทำงานและผู้ช่วยเลขานุการ คณะทำงาน

ต่อมา 29 กรกฎาคม 2563 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีคำสั่ง แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ที่มีนายวิชา มหาคุณเป็นประธาน  จากนั้น 31 สิงหาคม 2563 นายวิชา ได้นำรายงานฉบับสมบูรณ์ส่งถึงมือ พล.อ.ประยุทธ์

ระหว่างนั้นวันที่ 11 สิงหาคม 2563 นายเนตร นาคสุข ได้ยื่นหนังสือลาออกจากราชการต่ออัยการสูงสุดเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจในการสั่งสำนวนคดี เป็นครั้งที่ 1  โดยต้องการให้สังคมเกิดความสบายใจ ยืนยันว่าการสั่งคดีนี้ได้พิจารณาจากข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวน และตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย

วันที่ 22 กันยายน 2563 นายอรรถพล ใหญ่สว่าง ประธานคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) ให้สัมภาษณ์ว่า หนังสือลาออกของนายเนตร ยังไม่มีผล โดยหนังสือลาออกสามารถยับยั้งได้ 3 เดือน

กระทั่ง 21 เมษายน 2564 ที่ประชุม ก.อ.มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการพิจารณาสั่งคดีชุดใหม่ขึ้นมาแทนชุดเก่า เนื่องจากมีประธานกรรมการเเละกรรมการพ้นวาระ โดยมีการเลือกนายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ สายผู้รับบำเหน็จหรือบำนาญ อดีตอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา เป็นประธานคนใหม่

ในที่สุด เดือนกันยายน นายเนตร ได้ยื่นหนังสือขอลาออกจากราชการ รอบ 2 ต่อมา 21 กันยายน 2564 คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ได้ชงความเห็นต่อที่ประชุม ก.อ.ว่า นายเนตรมีความผิดวินัยไม่ร้ายแรง เพราะไม่พบการทุจริต แต่เป็นความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่  อาจพิจารณางดบำเหน็จหรือไม่เลื่อนขั้นเป็นระยะเวลา 2 ปี

และไม่เสนอโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นอัยการอาวุโส ซึ่งหมายถึงต้องพ้นจากราชการก่อนอายุ 70 ปี ซึ่งก็เป็นความประสงค์ของนายเนตร ที่เคยยื่นหนังสือแสดงความจำนงก่อนหน้านี้

แต่ปรากฏว่า ในการประชุม ก.อ.ครั้งนี้ คณะกรรมการ ก.อ. เสียงส่วนใหญ่ จำนวน  9 ต่อ 2  เสียง เห็นควรสอบวินัยร้ายแรง นายเนตร เนื่องจากขาดความรอบคอบ ประมาทเลินเล่ออย่างค่อนข้างร้ายแรง ซึ่งจะต้องตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงต่อไป โดยความผิดวินัยร้ายแรงมีโทษสูงสุดทางราชการคือการไล่ออก หากผู้เสียหายไม่พอใจ ไม่เห็นด้วย สามารถฟ้องต่อศาลปกครองได้

18 ตุลาคม 2564 นายพชร ยุติธรรมดำรง ประธานคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) เป็นประธานการประชุม ก.อ. ได้ตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรง นายเนตร อ โดยให้ธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ เป็นประธานคณะกรรมการ

19 มกราคม 2565 ภายหลังคณะกรรมการได้รวบรวมข้อมูล ป้อนเข้าสู่ที่ประชุม ก.อ. ปรากฏว่าที่ประชุมได้เลื่อนการลงมติ พร้อมขยายกรอบการวินิจฉัยออกไปอีก 1 เดือน โดยที่ประชุม ก.อ.จะมีการพิจารณาอีกครั้งในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565

แต่ก่อนจะถึงวันนั้น “เนตร นาคสุข” ได้ยื่นใบสมัครเป็น ป.ป.ช.คนใหม่แล้ว แต่ยังต้องผ่านด่านการตรวจสอบอีกหลายขั้นตอน ชนวนสั่งไม่ฟ้อง “บอส วรยุทธ” จะเป็นตัวตัดสินสำคัญในการนั่ง