อุ๊งอิ๊ง ขอเวลาเก็บเลเวล เป็นนายกฯชินวัตรคนที่ 3

อุ๊งอิ๊ง ชินวัตร ออกรายการวู้ดดี้ เปิดใจบทบาทบนสนามการเมืองครั้งแรก เล่าชีวิตการเป็นลูกสาวทักษิณ ย้ำยังไม่อยากเป็นนายกฯ ขอเวลาเก็บประสบการณ์

“อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร” ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย เปิดใจบทบาทการลงสนามการเมืองผ่านรายการ WOODY EXCLUSIVE โดย วู้ดดี้-วุฒิธร มิลินทจินดา พิธีกรชื่อดัง ผ่านทางยูทูบในช่วงค่ำคืนที่ผ่านมา ความยาว 20 นาที โดยมีพี่สาว “เอม-พินทองทา คุณากรวงศ์” เชียร์ติดขอบเวที ซับน้ำตาอยู่ข้าง ๆ

“แพทองธาร” เล่าชีวิตการเติบโตมาเป็นลูกสาวในครอบครัวชินวัตรว่า สิ่งที่ได้เรียนรู้จากคุณพ่อ “นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี” คือ ภูมิใจที่คุณพ่อเก่ง มีอะไรถามได้ ตอนอายุ 8 ขวบ คุณพ่อเป็นรัฐมนตรีการต่างประเทศ เคยมีโอกาสเข้าไปนั่งถ่ายรูปในกระทรวงการต่างประเทศ ตอนอายุ 14 ปี คุณพ่อเป็นนายกรัฐมนตรี ออกสื่อหนังสือพิมพ์หน้า 1 ทุกฉบับ ยังใช้ชีวิตในแบบที่ผู้คนรู้จัก แต่ในครอบครัวนั้นอบอุ่นมาก

แต่สิ่งที่เรียนรู้จากคุณพ่อคือ “การมีสติ” ทำให้เราต้องรู้ตัวตลอดเวลา อะไรคือของจริง อะไรคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ ณ ปัจจุบัน

ในตอนนั้นโดนเยอะ อย่างข่าวมหาวิทยาลัย ข่าวอะไรก็คงออกไปเยอะ เป็นข่าวเชิงลบกับเรา แรก ๆ รู้สึกจิตใจพังเยอะ แต่มีครอบครัวที่เป็นกำแพงให้ ทำให้รู้สึกว่าเหมือนเราไม่ได้อยู่คนเดียว คุณพ่อกับคุณแม่ จะมีวิธีการสื่อสารระหว่างครอบครัวเยอะ หากไปค้นหาในอดีตยังมีเรื่องเอนทรานซ์โผล่ขึ้นมา

ล่าสุดในอินสตาแกรมส่วนตัว ระบุว่าเรื่องนี้มันก็เก่ามากแล้ว เราผ่านกระบวนการของการสอบสัมภาษณ์ทุกอย่าง เขาสืบสวนสอบสวนหมดแล้ว เราก็เข้าเรียนได้ปกติ แล้วก็จบมา 4 ปีตามปกติ

เมื่อให้เล่าย้อนอดีตไปถึงความรู้สึกกับการเมืองช่วงแรก ๆ เธอได้อธิบายด้วยท่าทางอารมณ์ดีว่า อยากเป็นลูกรักคุณพ่อ เป็นลูกสาวคนเล็ก อะไรที่คุณพ่อทำ เราก็ต้องชอบหมด เหมือนเป็นการเอาใจ เมื่อคุณพ่อไปตีกอล์ฟร้อนมาก แต่ก็ไปด้วย การเมืองคือสิ่งที่คุณพ่อทำ มันก็เลยทำให้เราอยากรู้ อยากเข้าใจแล้วก็อยากที่จะเหมือนอยู่เคียงข้างคุณพ่อไปตลอด นึกขึ้นมาเหมือนเราจะไม่ชอบการเมือง มันไม่ได้รู้สึกแบบนั้น

สิ่งที่คุณพ่อสอนตลอดคือ การเรียนรู้ตลอดชีวิต พูดเสมอว่า เราอย่าเป็นน้ำเต็มแก้ว แม้เราจะรู้สึกคุณพ่อเก่ง บางทีไม่เคยรู้สึกว่าฉันเก่งที่สุดในห้อง เมื่อไปเจอเล่าเรื่องไปเจอคนนั้น คนนี้มา คนนั้นเก่งมาก คนนี้เก่งมาก เป็นสิ่งที่รู้สึกว่าโอเคมาก ๆ เราอยากจะเรียนรู้ไปตลอดชีวิต จะถ่ายทอดให้ลูก ให้หลานต่อ เราไม่ต้องกลัวที่จะเรียนรู้ เรียนรู้ไปเลย ในสิ่งที่เราไม่รู้

พิธีกรถามถึงเรื่อง Passion ในวันนี้ “แพทองธาร” กล่าวว่า ตั้งแต่มีลูก อยากทำให้ประเทศน่าอยู่สำหรับลูกเรา อีกหน่อยลูกเราจะมีเวทีหรือไม่ หากอยากจะแสดงศักยภาพเขาขึ้นมา

ถามว่า อยากให้อะไรเกิดขึ้นเร็วที่สุด สำหรับประเทศชาติบ้านเรา “แพทองธาร” ตอบทันทีว่า อยากให้มีการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาลค่ะ คิดว่ารู้สึกว่ามันนานล่ะที่มันเป็นอยู่แบบนี้ คิดว่าประเทศมันต้องไปต่อ มันต้องไปต่อ ตอนนี้มันถอยหลังอย่างเดียว จากการที่คุณพ่อออกไป ประเทศหรือเศรษฐกิจทุกอย่างก็ยังไม่เคยดีเท่าวันนั้น

เล่าชีวิตวันที่ไม่ได้อยู่แผ่นดินเดียวกับพ่อ

เมื่อถามว่าวันที่ไม่อาจใช้ชีวิตบนแผ่นดินเดียวกับคุณพ่อ ความรู้สึกเป็นอย่างไร ลูกสาวคนเล็กนายทักษิณตอบว่า วันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นวันที่น่ากลัวมาก ๆ สำหรับครอบครัวเรา

วันนั้นเป็นวันใกล้สอบ ไปหาพื่อนเพื่อเอาหนังสือมาอ่าน จากนั้นคุณแม่ “คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร” ได้โทรศัพท์ให้กลับบ้าน “กลับบ้านเดี๋ยวนี้เลยนะ ออกมาเลย มีรถถังออกมา ในใจ คืองงไปหมดเลย รถถังคืออะไร เราต้องไปไหน กำลังจะขับรถกลับบ้าน คุณแม่ก็โทรศัพท์มาอีก กลับบ้านไม่ได้ ทหารปิดซอยหมดแล้ว เลยขับไปที่ Safe House ก็อยู่กับคุณแม่สองคน พี่ชาย ‘โอ๊ค-พานทองแท้ ชินวัตร’ อยู่คนละที่ พี่สาวกำลังเรียนปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษ คุณพ่ออยู่สหรัฐอเมริกา”

จากไปเจอคุณแม่ก่อน ก็กลัว เป็นความกลัวมาก ๆ ตอนนั้นยังอยู่ในชุดมหาวิทยาลัย แล้วก็โทรศัพท์คุยกับพี่สาว ก็ร้องไห้ ถามว่าทุกคนโอเคหรือไม่ เราไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรมาถึงตัวเราหรือไม่ มันกลัวมากกว่า

ระหว่างการสัมภาษณ์ “แพทองธาร” น้ำตารื้น น้ำตาเอ่อขึ้นมาในดวงตาเหมือนจะร้องไห้เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น จากนั้นเล่าต่อไปอีกว่า สิ่งที่น่ากลัวคือ เป็นห่วงคนในครอบครัว พี่สาวได้โทรศัพท์มา ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะอยู่คนเดียว อยู่กับคุณพ่อก็หนักหนา เพราะโดนรัฐประหารที่ไม่รู้ตัวมาก่อน โดยที่ไม่รู้ล่วงหน้า พี่สาวก็เครียดเพราะอยู่กับคุณพ่อสองคน ไม่รู้ว่าจะต้องคุยอะไร พูดอะไร

บอกว่าไม่เป็นอะไรนะ ก็ไม่ใช่ มันไม่ใช่เรื่องที่จะจบลงเร็ว ๆ นี้ มันเป็นอะไรอีกระดับหนึ่ง แม้ผ่านไปหลายสิบปีแล้ว ไม่เชื่อว่าพูดแล้วก็ยังรู้สึก

ในวันที่รู้แล้วจะไม่ได้เจอหน้าคุณพ่อง่าย ๆ ก็ดีใจที่มีเครื่องบินพาณิชย์ทั่วไป ที่เรายังสามารถบินไปเจอกันได้ ได้คุยกับคุณแม่แรก ๆ ยังพูดตลอดเวลา “ยังดีนะยังได้ยินเสียงกัน… มันยังได้กอดกัน” ช่วงที่เกิดเหตุการณ์ หลังจากหาสายการบินได้ ก็รีบไปหาเลย 

“แพทองธาร” เล่าว่าตนเองเป็นคนที่สนิทกับคุณพ่อมาก ตั้งแต่เด็กตีกอล์ฟกับคุณพ่อ คือไปด้วย คุณพ่อไปหาเสียง ไปด้วยไม่เคยบ่น ไม่เคยรู้สึกอากาศรอบข้าง ไม่มีความรู้สึก เพราะเราติดคุณพ่ออยากอยู่ข้าง ๆ เขา เป็นคนกล้าบอกเขาทุกเรื่อง ตั้งแต่เด็กจนโต บอกหมดเลย

วันที่ทักษิณกลับไทย

ขณะที่สนทนามาถึงตอนนี้ “วู้ดดี้” ได้ตัดบทพร้อมปรารภขึ้นมา ถ้าอยากจะรู้กลับเมืองไทยเมื่อไหร่ ให้ถามอิ๊ง เพราะว่าได้กระซิบบอกลูกสาวเรียบร้อยแล้ว เธอตอบว่า “คุณพ่อบอก ห้ามบอกพี่วู้ดดี้ คุณพ่อบอกว่าจะออกรายการพี่วู้ดดี้เหรอ ชู้วส์ เงียบไว้ก่อน”

พร้อมกล่าวต่อไปว่า “เมื่อถึงเวลาทุกคนจะรู้ค่ะ ส่วนจะรู้จากตัวเองหรือคุณพ่อ เอาไว้ว่ากันอีกที เดี๋ยวไม่เซอร์ไพรส์ แต่ก็รอคอยวันนั้น รอคอย เชื่อว่าทุกคนในครอบครัวรอคอย สิ่งที่พูดกัน ไม่ได้พูดถึงรูปแบบของการกลับมามากมาย จะพูดกันในเรื่องแบบว่า กลับมาแล้วอยากทำอะไร บอกคุณพ่อว่า กลับมาแล้วจะให้อยู่บ้าน เลี้ยงหลาน ไม่ต้องทำงานเยอะแล้ว”

ถ้าคุณพ่อมีโอกาสกลับมาคิดว่าในวันนี้คุณพ่ออยากจะทำอะไรให้กับประเทศชาติ ที่คุณพ่อพูดเสมอคือ “อยากจะฟื้นฟูเศรษฐกิจก่อน เพราะเขาพูดเสมอ ปากท้องคนไทยตอนนี้ลำบากมาก เป็นเรื่องที่เขากังวลมาก”

เมื่อถามว่า มีโอกาสสามารถทำงานร่วมกับนายกฯคนปัจจุบันได้หรือไม่ “แพทองธาร” กล่าวว่า ตอนนี้พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคเพื่อไทย ทำงานในสภาอยู่แล้ว ถ้าถามส่วนตัวนะ “ก็เปลี่ยนไหมอ่ะ มันก็นานแล้วเหมือนกัน” ถ้าอ่านอะไรในโซเชียลบ้างมันก็จะเห็น ผู้คนลำบากจริง ๆ  แล้วเขาก็อยากได้การเปลี่ยนแปลงจริง ๆ มันถึงเวลาแล้ว ที่มันต้องเปลี่ยน

ขอเก็บประสบการณ์ เป็นนายกชินวัตรคนที่ 3

เมื่อขอให้พูดถึงตำแหน่งในพรรค “แพทองธาร” ตอบว่า เป็นประธานคณะทำงานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย จากนั้นนำมาสู่คำถามที่ว่า หากอนาคตมีโอกาสจะรับตำแหน่งอื่นอีกหรือไม่ เช่น นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย

“ว้าว นายกฯเลยใช่ไหมคะ (หัวเราะ) ต้องแล้วแต่คนในพรรคจะเมตตาเราว่าแค่ไหน จะต้องออกมาข้างนอกว่า ประชาชนคิดอย่างไรมากกว่า”

เมื่อถามต่อว่า แล้วอยากเป็นไหม “แพทองธาร” นิ่งคิดชั่วครู่ พร้อมย้อนถามมาว่า “นายกฯฌหรอคะ วันนี้ใช่ไหมคะ ยังไม่อยากค่ะ แต่ก็รู้สึกว่าต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง เมื่อเวลามันถึง มันใช่ ไม่รู้ความคิดจะเปลี่ยนไปอย่างไร แต่ ณ วันนี้ ยังไม่ได้อยากเป็นนายกฯ เราอยากจะเก่งกว่านี้ก่อน อยากจะมีประสบการณ์มากกว่านี้สักหน่อย”

ชีวิตบนสนามการเมือง กับถูกขุดคุ้ย

จากนั้นถามว่า การเมืองในวันนี้ค่อนข้างดุเดือด ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน จะมีการขุดคุ้ย สืบค้น ในโซเชียลมันออกมาหมด เราพร้อมแล้วใช่หรือไม่ ที่จะยืนอยู่กลางแจ้ง “แพทองธาร” กล่าวว่า ชินวัตรถูกขุดคุ้ยมาตลอด ยังไม่มีวันไหน ยังไม่ถูกขุดคุ้ยเลย มันเป็นมานานแล้ว เราปรับตัวตรงนั้นมานานแล้ว เรารู้อยู่แล้วว่ามันยังไม่มีอะไรที่เขายังไม่ขุดคุ้ย คิดว่า Google ไปก็เจอหมด

“ทุกคนมีสิทธิมีเสียงพูด ควรเป็นประชาธิปไตยเต็ม ๆ เสียที เราสามารถพูดคิดเห็นได้เริ่มจากครอบครัวก่อนเลย มันง่ายสุดในการยกตัวอย่าง อิ๊งมีสิทธิพูดกับคุณพ่อคุณแม่ ได้ทุกอย่าง บนความที่เราไม่ท้าทายเขา หรือไม่เคารพเขา อิ๊งพูดได้ทุกอย่างกับที่บ้าน อิ๊งไม่อยากทำอันนี้ อยากทำอันนี้ ชอบอันนี้ ไม่ชอบอันนี้ แล้วอิ๊งก็ได้ทำแบบนั้นมาเสมอ”

ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ?

มีอะไรอยากจะบอกกับพี่น้องชาวไทยอย่างเป็นทางการเลย “แพทองธาร” ระบุว่า แม้จะเป็นบทบาทใหม่ แต่ว่าทุกบทบาทที่ได้รับ ก็มีความตั้งใจมาก ๆ ไม่ว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไร ก็อยากจะช่วยเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประเทศเราดีขึ้น ไม่ว่าวันจะรู้แบบไหน อนาคตจะเอาโอกาสอะไรมาให้เรา เราคงต้องทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุดแน่นอน ก็ถ้าจะฝากก็ฝากพรุ่งนี้เพื่อไทย

เมื่อลงสนามการเมือง กลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยหรือไม่ เป็นสิ่งที่หลายคนเริ่มตั้งคำถาม “แพทองธาร” ตอบว่าคิดแต่ไม่ได้คิดไปในแง่นั้น คือแค่รู้สึกว่า มันต้องดีขึ้น การเมือง เศรษฐกิจ ความคิดของประเทศ มันต้องดีขึ้น มันต้องก้าวไปข้างหน้าได้แล้ว เราจะไม่หยุดอยู่ที่เดิม ความยุติธรรมต้องชัดเจนขึ้น ทุกอย่างมันต้องเคลียร์ขึ้น