อภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งสุดท้าย 6 ฝ่ายค้านเด็ดหัว-สอยนั่งร้านประยุทธ์

เป้า

พรรคฝ่ายค้าน 6 พรรค ประกาศยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 15 มิถุนายนนี้

การซักฟอกรอบนี้ถือเป็นศึกครั้งสุดท้ายที่จะพิสูจน์ฝีมือ-คมเขี้ยวของฝ่ายค้าน อีกทั้งจะเป็นการวัดพาวเวอร์ทางการเมืองฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์ ว่าจะคุมสภาพอยู่จนครบวาระหรือไม่

หลังจากเกิดขบวนการข่มขู่-ต่อรองทางการเมือง โดยมีกลุ่ม ส.ส. 16 จับมือกับพรรคเศรษฐกิจไทย ที่มี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นศูนย์กลางพลังการต่อรอง เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หนที่แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ถึงกับต้องลงมือปราบกบฏการเมือง ที่หวังโค่นล้ม เปลี่ยนนายกฯกลางสภา

พันธมิตรฝ่ายค้าน ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ พรรคก้าวไกล พรรคเสรีรวมไทย พรรคพลังปวงชนไทย เสรีรวมไทย และ 1 เสียงของไทยศรีวิไลย์ ตั้งยุทธการซักฟอกครั้งนี้ว่า

“เด็ดหัว สอยนั่งร้าน” เป้าอยู่ที่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกฯและ รมว.กลาโหมเป็นหลัก

ที่เหลือ ประกอบด้วย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง

พรรคประชาธิปัตย์ 2 คน ได้แก่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯและ รมว.พาณิชย์ และ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ และพรรคภูมิใจไทย 2 คน ได้แก่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.สาธารณสุข และ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม

ปักธง “ข้อกล่าวหา” เกี่ยวกับความผิดพลาดล้มเหลวการบริหารราชการแผ่นดิน จงใจฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญและมาตรฐานจริยธรรม ส่อทุจริต เอื้อประโยชน์ ไม่ปฏิบัติตามนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภาหรือเรื่องที่ฝ่ายค้านเคยอภิปรายทักท้วงไว้ การละเมิดสิทธิมนุษยชน และทำลายระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา

สุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ประธานวิปฝ่ายค้าน เชื่อว่า การอภิปรายรอบนี้ “มีสิทธิน็อกได้” แต่แม้ว่ารัฐบาลน่วมขนาดไหน แย่ขนาดไหน ถ้ารัฐบาลยกมือให้กันก็อยู่ต่อได้ ดังนั้น ขึ้นกับพรรคเล็กจะแตกออกหรือไม่ ซึ่งมีโอกาสแตก

เขาบอกถึงการเตรียมความพร้อมของฝ่ายค้านว่า พรรคเพื่อไทยมีคณะกรรมการชุดใหญ่ และคณะกรรมการกลั่นกรอง ก่อนสรุปมาเป็นข้อมูลในการอภิปราย

แหล่งข้อมูลมาจาก 3 ส่วน หนึ่ง จาก ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยทุกคน สอง จากข้าราชการ-ประชาชนทั่วไป สาม ทีมวิชาการของพรรค ที่รวบรวมข้อมูลจากคณะกรรมาธิการชุดต่าง ๆ ที่อยู่ในการดูแลของพรรคเพื่อไทย

เมื่อมีการส่งข้อมูล-ระดมสมอง จากนั้นจะเข้าสู่คณะกรรมการกลั่นกรอง เพื่อประเมินน้ำหนักพยาน-หลักฐานต่าง ๆ จัดระเบียบข้อมูล-ก่อนให้คณะกรรมการชุดใหญ่เติมเต็มข้อมูล เนื้อหาการอภิปราย จากนั้นจึงจัดคนว่าใครเป็นคนพูด แบบเน้น ๆ เนื้อ ๆ เมื่อได้ตัวบุคคลมาแล้วก็จะเข้าสู่กระบวนการซักซ้อมก่อนอภิปราย

“การอภิปรายไม่ไว้วางใจรอบนี้จะใช้คนอภิปรายไม่เกิน 10 คน คัดมืออภิปรายที่มีฝีมือ เน้นอภิปรายกระชับ ๆ และจบเป็นคน ๆ ไป จึงโฟกัสไปที่ พล.อ.ประยุทธ์ ใช้คนอภิปราย 1 คน ต่อ 1 รัฐมนตรีที่ถูกอภิปราย”

สุทินไม่หวังมือในสภาที่จะน็อกรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ในสภา แต่จะใช้โอกาสนี้ให้คนทั้งสังคมช่วยกดดัน และยังเชื่อว่า ถ้าพรรคฝ่ายค้านอภิปรายโดนใจคนจริง ๆ พรรคร่วมรัฐบาลก็อาจจะไม่กล้าโหวตให้

สอดคล้องกับ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ยังเดาคณิตศาสตร์การเมือง ตอนโหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่ออก

“การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ถือเป็นครั้งสุดท้ายของรัฐบาลชุดนี้อยู่แล้ว และเราก็ต้องทำให้เต็มที่ แต่พลวัตการเมืองตอนนี้มีหลายปัจจัยที่ต้องคำนึงร่วมกัน เพราะมีทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล และมีฝ่ายที่สปริงโหวตอยู่ ตัวเลขตรงนั้นยังไม่ชัดเจน ซึ่งคณิตศาสตร์การเมืองตอนนี้ยังตอบอะไรชัดเจนไม่ได้”

แหล่งข่าวจากพรรคก้าวไกล ได้แย้มเอาไว้ว่า เที่ยวนี้มิได้มี “หมัดน็อก” เฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ แต่สามารถทำให้พรรคร่วมรัฐบาลอย่าง “ภูมิใจไทย” ต้องมีแผลเลือดอาบ ด้วยข้อหาทุจริต โดยเฉพาะข้อมูลจาก “ราชการ” ที่ทยอยส่งมาให้กับพรรค

แหล่งข่าวจากฝ่ายค้านประเมินว่า ประยุทธ์คงจ่ายหนัก และหนักยิ่งกว่าตอนอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อปี 2564 ที่กลุ่ม ร.อ.ธรรมนัส เดินเกมล้ม พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์จะต้องสู้ พรรคเล็กพรรคน้อยนายกฯ อาจจะสอยไปได้ แต่กลุ่มธรรมนัสอาจจะไม่ได้

แต่ไป ๆ มา ๆ ก่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ “พิเชษฐ สถิรชวาล” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แกนนำกลุ่ม 16 กลับเปลี่ยนท่าที ไม่ร่วมอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลกับพรรคฝ่ายค้าน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ออกอาการกระเหี้ยนกระหือรือจะซักฟอกรัฐบาล

เบื้องต้นบอกว่าจะไม่ร่วมการอภิปรายกับพรรคฝ่ายค้าน เพราะเป็นสมาชิกของพรรคร่วมรัฐบาล

ซึ่งขณะนี้ พล.อ.ประยุทธ์ สั่งให้ตรวจสอบ ขณะที่ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง อยู่ระหว่างตรวจสอบและทำให้รอบคอบ ซึ่งไม่ใช่ประวิงเวลาลงนามสัญญาหลังจากที่การอภิปรายไม่ไว้วางใจเสร็จสิ้น

“เด็ดหัว สอยนั่งร้าน” อาจเป็นแค่เกมเขย่านั่งร้าน หากประยุทธ์คุมพรรคเล็กอยู่หมัด