เพื่อไทย เปิดดีล ส.ส.เข้าบัญชีพรรค ตั้งเกณฑ์มีฐานเสียงในมือ 40,000 ชื่อ

เพื่อไทย เปิดดีล ส.ส.เข้าบัญชีพรรค ตั้งเกณฑ์มีฐานเสียงในมือ 40,000 ชื่อ

ครอบครัวเพื่อไทย ใครจะลงรับสมัคร ส.ส.ครั้งต่อไป ต้องสะสมรายชื่อคนในครอบครัว ให้ได้ขั้นต่ำ คนละ 5,000 ชื่อ อัตราเฉลี่ยอยู่ที่ 20,000 ชื่อ สูงสุดได้ลง ส.ส.แน่ ๆ คือ 40,000 ชื่อ

นับถอยหลังการเลือกตั้งทั่วไป ต้นปี 2566

โปรแกรมการเมือง ครึ่งหลังปี 2565 จึงเป็นช่วงการแสดงฝีมือ โชว์ฝีปาก สร้างตัวตน ของ ส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎร และว่าที่ผู้สมัครนอกสภาให้เป็นที่ประจักษ์ เพื่อลุ้นได้ลงสมัคร ส.ส.รอบใหม่ และได้ไปต่อสมัยหน้า

โปรแกรมก่อนหน้านั้น คั่นด้วยการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ที่ต้องใช้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า 2 ฉบับ ที่กรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว คือ ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. (ฉบับที่…) พ.ศ…. และร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง (ฉบับที่…) พ.ศ…. คาดว่าในวันที่ 5-6 กรกฎาคมนี้จะพิจารณาในวาระสองและวาระสาม

ในโค้งสุดท้ายปลายปี เดือนพฤศจิกายน 2565 รัฐบาลตั้งใจจะต้อนรับผู้นำต่างประเทศ โชว์ผลงานด้านเศรษฐกิจ ผ่านการประชุมเอเปค หากไม่มีอุบัติเหตุการเมือง ก็นับถอยหลังไปสู่การเลือกตั้งทั่วไป

พรรคพลังประชารัฐ ยังลุ้นหลายขั้นตอน ใครจะได้ไปต่อ ขึ้นอยู่กับว่าใครจะขึ้นเป็นหัว-ในบัญชีปาร์ตี้ลิสต์ กลุ่ม 3 ป.ยังมีอิทธิพลอย่างสูง ในการตัดสินชี้ขาด

ADVERTISMENT

โฟกัสพรรคเพื่อไทย ปัจจัยใหญ่ยังขึ้นอยู่กับหัวหน้าครอบครัว “ชินวัตร” ทั้งที่เมืองไทย และที่ “ดูไบ”

การคัดตัวผู้สมัคร ส.ส.เพื่อไทย ปักธง 400 เขต ไปแล้วเปลี่ยนใหม่ได้อีกหลายครั้ง ส.ส.บางรายลงพื้นที่หาเสียงไปแล้วครึ่งทาง ยังถูกสับเปลี่ยนกำลัง หลังผลโพลล์ของพรรค แสดงตัวเลขว่าคะแนนนิยมไม่เพิ่มขึ้น ส่วนระบบบัญชีรายชื่อ หรือปาร์ตี้ลิสต์ อยู่ในระหว่างการคัดเลือก ตั้งแต่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี 3 ชื่อ และอีก 100 ชื่อตามรัฐธรรมนูญ

ADVERTISMENT

นอกจากนี้ ยังมีการดับเบิลเช็กข้อมูล ลงไปถึงรากของตระกูล กรณีผู้สมัครเป็น “สาขา” ของบ้านใหญ่ ตระกูลดัง ที่เคลมกับพรรคว่า มีฐานเสียงมาก แต่เมื่อพรรคดับเบิลเช็ก ไม่เป็นไปตามที่เคลมไว้

กว่าจะได้ลงสมัคร ส.ส.เพื่อไทย สมัยหน้า จึงไม่ง่าย ต้องดีลทั้งในพรรค-นอกพรรค และเดินทางต่างประเทศ เพื่อตัดสินชี้ขาด

แต่ไม่ว่าปัจจัยภายนอกพรรค-นอกประเทศ จะเข้ามามีอิทธิพล ในนาทีสุดท้าย หรือไม่ หลักเกณฑ์พื้นฐานที่ ส.ส.ทุกคน ต้องฝ่าด่านการได้เป็นผู้สมัคร ส.ส. มีดังนี้

      1. จัดลำดับความสำคัญแรก ให้กับ ส.ส.ปัจจุบัน ที่อยู่ในสภาทั้งระบบบัญชีรายชื่อ และระบบเขต
      2. กรณีมีปมเรื่อง “งูเห่า” พฤติกรรมไม่เหมาะสม จะไม่ได้พิจารณาในระดับต้น ๆ อยู่ในกลุ่มต้องคัดกรอง
      3. ต้องไม่เคยมีข้อครหาเรื่อง “รับงาน-รับเงินมาโหวต” ในสภาสมัยที่ผ่านมา
      4. ต้องไม่มีปัญหาด้านสุขภาพ
      5. ปัญหาทับซ้อนระหว่างฐานเสียงในตระกูลตัวเอง ที่อยู่ในเพื่อไทย กับอยู่ในพรรคอื่น ๆ ในพื้นที่ ต้องไม่มีประเด็นให้หยิบยกมาพิจารณา
      6. ส.ส.เก่าที่อายุมาก ระดับ 70-80 ปี ต้องต่อท้ายใน ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ เพื่อเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่
      7. ส.ส.เก่า ที่อายุมาก จะได้รับสิทธิ ให้ส่งลูก-หลาน ตัวเองลงพื้นที่แทนได้
      8. ส.ส.ที่มีประวัติเสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดี และอาจมีผลให้พ้นจากตำแหน่ง หลังเลือกตั้ง จะไม่ได้รับพิจารณาทั้งระบบเขต และบัญชีรายชื่อ
      9. กรณี ส.ส.ที่มีคดี ใกล้จะถูกชี้มูลจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จำนวน 3 รายจะถูกพิจารณาไม่ให้ลงรับสมัครเลือกตั้ง และเตรียมหาคนทดแทนกรณีฉุกเฉิน
      10. กรณีมีญาติ-พี่น้องคนในตระกูลใหญ่ แต่มีญาติสังกัดพรรคคู่แข่ง หรือพรรคการเมืองอื่น อาจต้องถูกบีบให้เลือก ว่าจะอยู่พรรคใดพรรคหนึ่ง ถ้าอยู่เพื่อไทยต้องดึงญาติเข้าร่วมด้วยให้ได้
      11. กรณีตระกูลใด บ้านใหญ่ของจังหวัดนั้นยังลังเลว่าจะอยู่พรรคเดียว หรือสองพรรค จะถูกเร่งรัด กดดัน ให้เลือกข้างให้ชัดเจน หากไม่ชัดเจน จะนำชื่อไปแขวนไว้ในลำดับท้าย ๆ ของบัญชีรายชื่อ
      12. หากผู้มีอำนาจในพรรค มีข้อมูลภายหลังว่า “แทงกั๊ก” หรือก้ำกึ่งอยู่สองพรรค และไม่ตัดสินใจ พรรคจะตัดสิทธิทันที
      13. ต้องมีสมาชิกในครอบครัวเพื่อไทยสะสมไว้ เริ่มต้นจาก 5,000 เสียง สูงสุด 40,000 เสียง ค่ากลางคือ 20,000 คน แกนนำพรรครายหนึ่งกล่าวไว้ว่า “หาสมาชิกสองหมื่นไม่ได้ ก็ไม่ควรได้เป็น ส.ส.”
      14. ฐานเสียงของ ส.ส.ทุกคนมีความหมาย สำหรับการบรรลุเป้าหมายการชนะแบบแลนด์สไลด์ที่พรรคตั้งเป้าไว้

ระหว่างนี้ยังมีปัจจัยใหม่ ๆ เข้ามาในการเจรจา ดังนั้น บรรดาผู้มีบารมีในพรรค นอกพรรค จึงต้องจัดคิว ให้ ส.ส. ว่าที่ผู้สมัคร เข้ารายงานตัว และรายงานปัญหา และชักแม่น้ำทั้งห้า มาให้สัญญา ว่าจะลงสมัคร ส.ส.เพื่อไทยสมัยหน้า

กว่าจะถึงเดือนกันยายน 2565 ที่เงื่อนไขรัฐธรรมนูญกำกับไว้ว่า ส.ส.ที่ลาออกก่อนหมดสมัย 6 เดือน ไม่จำเป็นต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ ถึงตอนนั้น จะเห็นหน้าเห็นหลัง กันอีกครั้ง