สุรเชษฐ์ หักพาล สั่งจับเพื่อนร่วมรุ่น นรต.47 อ้างชื่อหลอกเหยื่อโอนเงิน 6 ล้าน

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษา สบ 9 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
FILE PHOTO : พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล สั่งดำเนินคดี เพื่อนตำรวจร่วมรุ่น นรต.47 พร้อมพวก แอบอ้างชื่อหลอกเหยื่อโอนเงิน 6,000,000 บาท อ้างช่วยพ้นคดีผู้ต้องหาต่างชาติคดียาเสพติด

วันที่ 19 กรกฎาคม 2565 พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มาติดตามความคืบหน้ากรณีรับการร้องเรียนจาก น.ส.ธิรวรรณ์ เขียวงาม ผู้เสียหายเพื่อนสนิท นายริเทช พาเทล ชาวอังกฤษ ซึ่งถูกควบคุมตัวอยู่ภายในสถานกักกันคนต่างด้าว กก.3 บก.สส.สตม. ว่ามีบุคคลแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและมีความสนิทสนมใกล้ชิดกับ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ สามารถช่วยเหลือทางคดีและสามารถประกันตัวนายริเทช พาเทล ได้ ทำให้ น.ส.ธิรวรรณ์ ผู้เสียหายหลงเชื่อมอบเงินกว่า 6,000,000 บาท ให้กับกลุ่มผู้ต้องหาแต่ปรากฎว่าจนถึงปัจจุบันเพื่อนสนิทยังไม่ได้รับการประกันตัวหรือปล่อยตัวแต่อย่างใด

จากนั้น พล.ต.ท.สุรเชษฐ์จึงสั่งการให้ พ.ต.อ.ต่อศักดิ์ ปานกลิ่นพุฒ ผกก.สน.ปากคลองสาน และเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วนเนื่องจากกลุ่มผู้ต้องหามีการแอบอ้างผู้บังคับบัญชาระดับสูงเพื่อให้มีการดำเนินคดีผิดไปจากระเบียบ ข้อบังคับ หรือกฎหมายจากการสืบสวนและทราบพฤติการณ์ในคดีว่าเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมนายริเทช พบว่า มีหมายแดง (หมายจับตำรวจสากล) และถูกส่งตัวไปกักขังเพื่อรอดำเนินการส่งกลับไปยังประเทศอังกฤษ ไว้ที่สถานกักกันคนต่างด้าว กก.3 บก.สส.สตม.

โดยในระหว่างที่นายริเทช ผู้ต้องกักอยู่ในการควบคุมของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองนั้นมี น.ส.ธิรวรรณ์ เข้ามาติดต่อกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อขอประกันตัวผู้ต้องกัก แต่ไม่ได้รับการอนุญาตให้ประกันตัวต่อมาผู้เสียหายจึงขอความช่วยเหลือเรื่องประกันตัวไปกับนายธนัญวัธน์ ธนันธัญภัทรน์ ซึ่งนายธนัญวัธน์ แจ้งว่ามีนายวิทยา สมศรีษมสกุล อ้างว่าช่วยประสานดำเนินการในประกันตัวผู้ต้องกักได้เนื่องจากรู้จักกับ พ.ต.อ.ราเมศ แก้วสูงเนิน ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน ภ.จว.แม่ฮ่องสอน

ซึ่งอ้างว่าเป็นชุดทำงานและเป็นเพื่อนนักเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) รุ่นเดียวกับ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ มั่นใจได้ว่าจะทำเรื่องประกันตัวหรือทำให้ได้รับการปล่อยตัวอย่างแน่นอนทำให้ น.ส.ธิรวรรณ์ และนายธนัญวัธน์ หลงเชื่อว่าดำเนินการได้จริงโดยนายวิทยา แจ้งว่าต้องมีค่าดำเนินการที่จะต้องชำระให้กับนายวิทยา 6,000,000 บาท ให้เรียบร้อยก่อน

ต่อมาเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ขณะผู้ต้องกักอยู่ในความควบคุมที่สถานกักกันคนต่างด้าว (บางเขน) นายธนัญวัธน์ เดินทางมากับนายวิทยา เข้าติดต่อร้อยเวรรักษาการณ์ประจำสถานกักกันคนต่างด้าว เพื่อขอพบกับผู้ต้องกักซึ่งร้อยเวรรักษาการแจ้งว่าไม่สามารถเข้าพบได้แต่นายวิทยา พยายามให้พูดคุยโทรศัพท์กับบุคคลอ้างตัวว่าคือ พ.ต.อ.ราเมศ เป็นชุดทำงาน พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ จะขอติดต่อเข้าพบผู้ต้องกักคนดังกล่าวและอ้างว่าผู้ต้องกักเคยทำงานเป็นสายให้กับตนเองและพยายามจะขอให้เข้าพบผู้ต้องกัก แต่ร้อยเวรรักษาการณ์ก็ปฏิเสธเนื่องจากขัดต่อระเบียบปฏิบัติและให้ติดต่อกับผู้บังคับบัญชาโดยตรง

จากนั้นนายวิทยาแจ้งให้นายธนัญวัธน์ และ น.ส.ธิรวรรณ์ ไปโอนเงินตามบัญชีธนาคารที่นายวิทยา แจ้งไว้โดยให้โอนให้ครบตามจำนวนยอดเงิน 6,000,000 บาท เมื่อโอนเงินครบแล้วนายธนัญวัธน์ พยายามติดต่อเรื่องการขอประกันตัวกับนายวิทยา แต่ก็บ่ายเบี่ยงมาโดยตลอดและภายหลังไม่สามารถติดต่อได้ น.ส.ธิรวรรณ์ จึงเชื่อว่าถูกหลอกลวงเอาเงินไปโดยทุจริต ทำให้ได้รับความเสียหาย จึงแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.ปากคลองสาน เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์กล่าวว่า จากการสืบสวนพบว่านายวิทยา มีการติดต่อกับ พ.ต.อ.ราเมศ ในห้วงเวลาเกิดเหตุจริงและมีพยานบุคคลยืนยันว่า บุคคลทั้งสองมีการกล่าวอ้างถึงตน ในการติดต่อขอประกันตัวหรือขอเข้าพบผู้ต้องกักเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และหลอกลวงผู้เสียหายว่าจะช่วยเหลือได้จริง โดยให้โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารที่กำหนดไว้รวมความเสียหาย 6,000,000 บาท

จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินพบว่า มีการโอนเงินต่อไปยังบัญชีธนาคาร พ.ต.อ.ราเมศ และบัญชีอื่น ๆของบุคคลในครอบครัว รวมทั้งบัญชีธนาคารของนายวิทยา จึงเชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิดจริงโดยแบ่งหน้าที่กันทำ จากข้อมูลดังกล่าว พนักงานสอบสวน สน.ปากคลองสาน จึงรวบรวมพยานหลักฐาน และออกหมายเรียกผู้ต้องหาที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดดังกล่าว ทั้งเป็นผู้หลอกลวง และเป็นเจ้าของบัญชีที่รับโอนในเบื้องต้น จำนวน 5 ราย

ประกอบด้วย 1.พ.ต.อ.ราเมศ แก้วสูงเนิน ผกก.กลุ่มงานสอบสวน ภ.จว.แม่ฮ่องสอน 2.นายวิทยา สมศรีษมสกุล อายุ 67 ปี 3.นายอภิรักษ์ เที่ยงธรรม อายุ 43 ปี 4.น.ส.ณัฐนรี บุญมา อายุ 35 ปี และ 5.น.ส.ทิพย์สุดา อินสองใจ อายุ 26 ปี เบื้องต้นผู้ต้องหาทั้ง 5 รายจะถูกดำเนินคดีในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง ซึ่งจะมีการติดตามตัวผู้ต้องหาทั้ง 5 รายมารับทราบข้อกล่าวหาและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์กล่าวว่า จากพฤติการณ์ในคดีดังกล่าวนี้ มีการแอบอ้างชื่อตนเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในการหลอกลวงผู้เสียหาย และทำให้หลงเชื่อว่า ตัวผู้กระทำผิดสามารถช่วยเหลือในการดำเนินการตามที่ผู้เสียหายต้องการได้ซึ่งกรณีนี้สั่งการกำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการทุกขั้นตอนตามกฎหมายอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย มีความละเอียดรอบคอบในการรวบรวมพยานหลักฐาน และดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดทุกรายจนถึงที่สุด ทั้งนี้ขอยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบ ข้อบังคับ และกฎหมาย ทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นในการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ