เพื่อไทยแฉติดโควิดวันละ 50,000 คน อนุทินโต้ข้อมูลเท็จไม่ได้กรอง

หมอสุรวิทย์ เพื่อไทย ชี้คนติดโควิดไม่ต่ำกว่าวันละ 5 หมื่น แอสตร้าฯ 55 ล้านโดสกำลังหมดอายุ-อนุทินลุกขึ้นโต้ ข้อมูลเท็จ ไม่ได้กรอง ยันไม่มีวัคซีนรอหมดอายุ ขออย่าใช้ชีวิตประชาชนเป็นเกมการเมือง ไปแข่งในพื้นที่ดีกว่า  

วันที่ 19 กรกฎาคม 2565 ที่รัฐสภา การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ ส.ส.ชัยภูมิ พรรคเพื่อไทย (พท.) อภิปรายถึงความล้มเหลวการแก้วิกฤตโควิด–19 ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข ว่า รัฐบาลพยายามสร้างภาพควบคุมโควิด-19 ได้ แต่ขณะนี้มีโรงพยาบาลรัฐหลายแห่งปฏิเสธการรับผู้ป่วย และพยายามคุมตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพื่อให้เข้าสู่โรคประจำถิ่น บอกว่ามีผู้ติดเชื้อต่อวัน 3,000 คน

แต่ความจริงติดเชื้อวันละไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นคน จนแพทย์หลายคนต้องเรียกร้องให้รัฐบาลบอกความจริงแก่ประชาชน ขณะที่การรักษาก็มีปัญหา พอไป รพ.สต.มักได้ยาแก้ปวด แก้แพ้ ฟ้าทะลายโจร แต่ไม่ได้ยาโมลนูพิราเวียร์อ้างว่าหมด ในกลุ่มไลน์แพทย์ยืมยากันให้วุ่นไปหมด แต่พอไปถามรัฐมนตรีบอกว่ายามีเหลือเฟือ มีความเหลื่อมล้ำการเข้าถึงยาโมลนูพิราเวียร์ ผู้หลักผู้ใหญ่เข้าถึงได้ง่ายได้เร็ว แต่ชาวบ้านเข้าไม่ถึง

ส่วนเรื่องการจัดซื้อวัคซีนโควิด–19 นั้น ขณะนี้มีวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าค้างสต๊อกอยู่ 30 ล้านโดส วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท ที่รอวันหมดอายุ เพราะไม่สามารถป้องกันโควิด–19 สายพันธุ์โอมิครอนได้ แทนที่จะเลิกสั่งวัคซีนดังกล่าว แต่คณะรัฐมนตรี (ครม.) กลับแค่ลดจำนวนการสั่งซื้อ และซื้อมาเติมตลอดปี

ล่าสุดสั่งเพิ่มมาอีก 22 ล้านโดส รวมเป็นวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 55 ล้านโดส คิดเป็นวงเงินกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท ที่จะเกิดความเสียหาย การบริหารโควิด–19 ของรัฐบาลล้มเหลว จากการประเมินสถานการณ์ผิดพลาด อาจมีการทุจริตร่วมด้วย จึงไม่สามารถไว้วางใจนายอนุทินได้

นายอนุทิน ใช้สิทธิชี้แจงว่า ประเทศไทยมีเตรียมการรองรับการระบาดของโรค ก่อนองค์การอนามัยโลกประกาศโรคเฝ้าระวัง ถึง 6 สัปดาห์ และตรวจพบคนติดเชื้อรายแรกนอกประเทศต้นกำเนิดโรค เราเตรียมทุกองคาพยพ เพื่อเตรียมพร้อมเฝ้ารัง คัดกรอง รักษา มียารักษา ซึ่งคนเสียชีวิตส่วนใหญ่ขณะนั้นเป็นผู้มีโรคแทรกซ้อน แต่ทุกครั้งที่มีผู้เสียชีวิต บุคลากร ท่านนายกฯ ตนเองต่างเสียใจทั้งสิ้น เพราะไม่ได้อยากให้มีใครเสียชีวิต เราพยายามทุกอย่างเพื่อป้องกัน รักษาชีวิตประชาชน

การเจ็บป่วย นายกฯและคณะรัฐมนตรี ล้วนมีความเสียใจ ตายคนหนึ่งก็ไม่ได้ ถ้าเราสามารถควบคุมสถานการณ์ทุกอย่างได้ แต่ส่วนใหญ่ ผู้เสียชีวิตมีโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ด้วย ทางเราต้องพยายามหาวิธีการรักษาให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เราพบว่ามีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์อย่างชัดเจนว่า ผู้ป่วยที่มีโรคอื่น ๆ ร่วมกับโควิด-19 มีโอกาสเสี่ยงชีวิตสูงมาก

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลกที่รักษาพยาบาลผู้ป่วยโควิด-19 ในประเทศทุกราย รัฐบาลไทยโดยการสั่งการของนายกฯ ผ่านมายังตนและกระทรวงสาธารณสุข ให้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เป็นผู้บริหารจัดการภารกิจนี้

และนายกฯยังได้สนับสนุนให้เร่งมีการจัดหาวัคซีนทุกชนิดที่ได้รับรองจากองค์การอนามัยโลก จนขณะนี้เราฉีดให้ประชาชนไปแล้ว 140 ล้านโดส มากกว่า 70% ของจำนวนประชากร และมากกว่า 90% ของจำนวนประชากรที่อยู่ในข่ายมีความเสี่ยง วัคซีนทุกชนิดได้ลดความเสี่ยง ลดความรุนแรงจากหนักให้เป็นเบา และป้องกันการเสียชีวิตจากผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วนอย่างเห็นได้ชัด

ที่มีการด้อยค่าวัคซีนที่ผลิตจากจีน ซึ่งเป็นประเทศที่ให้การสนับสนุนเวชภัณฑ์กับเราเป็นอันมาก ด้อยค่าวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ที่ไว้วางใจประเทศไทย ตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย ให้เราได้สามารถเข้าถึงวัคซีนได้ง่ายยิ่งขึ้น ผู้อภิปรายอย่าไปฟังมาเฉย ๆ มีคนทำสไลด์ให้แล้วเอามาพูด และอยู่ในสาธารณสุขมาด้วย แต่ไม่ทราบว่าทำไมทัศนคติต่อกระทรวงสาธารณสุขเปลี่ยนแปลงไป

นายอนุทินกล่าวต่อว่า เมื่อประชาชนได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นตั้งแต่ 3 เข็มขึ้นไป ข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขปรากฏว่าไม่พบผู้เสียชีวิตโดยตรงจากโควิด-19 หากได้รับวัคซีนตามที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำ นอกจากนี้ ยังลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อ ไม่พบอาการหนัก และหายจากการเจ็บป่วยได้ในเวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์ วัคซีนยังทำงานอย่างเต็มที่ไม่ว่าวัคซีนเชื้อตาย ไวรัลเวกเตอร์ ของแอสตร้าเซนเนก้า หรือ mRNA ของไฟเซอร์ และโมเดอร์นา โดยรัฐบาลไทย รัฐบาลชุดนี้ นายกฯคนนี้ รมว.สาธารณสุขคนนี้ได้เพียรพยายามจัดหามาให้คนไทยทุกคน

วานนี้ 18 กรกฎาคม ได้มีการเผยแพร่ผลงานวิจัยซึ่งร่วมมือกันระหว่างมหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยนเรศวร สรุปได้ใจความว่าวัคซีนที่ฉีดให้คนไทย สามารถรักษาชีวิตผู้ป่วยได้แล้วถึง 490,000 คน หากไม่มีวัคซีนเหล่านี้ได้ทันเวลา ล่าช้า อาจมีผู้เสียชีวิตอีกนับแสนราย

“ขอความกรุณาว่าต้องไม่ด้อยค่าวัคซีน ประเทศไทยจัดหาวัคซีนครอบคลุมทุกช่วงอายุตั้งแต่เด็กเล็กหรือคนชรา นำหน้าหลาย ๆ ประเทศ ไม่มีวัคซีนเหลือหรือรอวันหมดอายุ หรือต้องเททิ้ง ประเทศไหนที่เททิ้งแจ้งมา ผมจะทำหนังสือไปขอรับบริจาคให้กับประเทศไทย เพื่อจะได้นำไปฉีดกับบุคลากรที่มีความเสี่ยงอื่น ๆ ไม่ว่าคนไทย หรือตามแนวชายแดน หรือไปส่งมอบต่อให้กับประเทศที่ไม่มีกำลังต่อรองเพียงพอในการได้รับวัคซีนได้ตรงเวลา ให้ดูแลประชากรของเขาได้” นายอนุทินกล่าว

นายอนุทินกล่าวว่า เรามีแต่วัคซีนที่พร้อมเสริมภูมิคุ้มกันให้คนไทยได้รับความปลอดภัย นอกจากนี้ เรายังมียารักษาโรคโควิดเพียงพอรักษาผู้ป่วยในกรณีที่ติดเชื้อ สิ่งที่ฝ่ายค้านควรจะทำในฐานะเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย คือช่วยกันออกไปขอร้องให้ประชาชนที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน ให้พากันมาฉีดวัคซีนกันให้มากที่สุด ประชาชนของพวกเราก็จะได้มีภูมิคุ้มกันถ้วนหน้า ใช้ชีวิตปกติ ลูกหลานจะได้ไปเรียนโรงเรียนปกติ ประชาชนทั่วไปก็จะได้ประกอบสัมมาชีพโดยไม่ติดข้อห้ามใด ๆ ผู้สูงอายุก็อยู่อย่างปลอดภัย แม้โควิดยังอยู่

“ข้อมูลที่มาเสนอเป็นเท็จและไม่ได้กรอง แต่ตนในฐานะคนหน้างานกรอง ถามแล้วถามอีก โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตของประชาชน เช่น การดูถูกหลักการแพทย์ การด้อยค่าวัคซีน ด้อยค่ายา ด้อยค่าเวชภัณฑ์ ท่านโหดร้ายนะครับ ท่านเหี้ยมโหดมากเลย ท่านแลกหมด แลกแม้กระทั่งชีวิตของพี่น้องประชาชน เพียงเพื่อตอบสนองเป้าหมายทางการเมืองมันไม่คุ้มค่า ไม่ควรทำ เพราะเราเป็นผู้แทนของพวกเขา” นายอนุทินกล่าว

นายอนุทินกล่าวอีกว่า ขอความกรุณาให้เว้นเรื่องการสาธารณสุขสักเรื่อง เพราะประชาชนลำบากมากพอแล้ว ถ้าจะขับเคี่ยวทางการเมืองเรามีอีกหลายเรื่องที่ขับเคี่ยวกันได้ เราไปแข่งขันกันได้ในพื้นที่ของเรา ถ้ามองว่าเป็นเรื่องความบาดหมางทางการเมืองระหว่างพวกท่านกับพวกผม ก็ขอให้เป็นเรื่องของเรา อย่าเอาคนทั้งประเทศมาเกี่ยวข้อง ยินดีที่จะเปลี่ยนแปลงความเข้าใจผิดให้เป็นความเข้าใจร่วมกัน ให้ประชาชนได้เกิดความสบายใจ ไม่วิตกกังวล และได้ให้ความร่วมมือปกป้องตนเอง ดำรงชีวิตได้เป็นสุข

ส่วนเรื่องการบริหารจัดการยานั้น การจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการตามระเบียบการจัดซื้อทุกประการ ซึ่งเป็นยารวมถึงวัคซีนที่เกี่ยวกับโควิด เป็นการขึ้นทะเบียนแบบภาวะฉุกเฉิน emergency use authority เป็นยาที่ซื้อไม่ได้ตามท้องตลาด อยู่ภายใต้การบริหารแบบสถานการณ์ฉุกเฉิน ผู้ขายเลือกขายรัฐบาลโดยตรงจึงไม่เลือกขายให้กับเอกชน จึงมีการซื้อขายผ่านองค์การเภสัชกรรม

ขอย้ำว่ายาที่ใช้ผ่านการรับรองจากองค์การอนามัยโลกทุกตัว และที่ซื้อเป็นไปตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ ล่าสุดบริษัทแอสตร้าฯ ได้เปิดเผยผลวิจัยพบว่าวัคซีนที่ผลิตในประเทศไทย สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันสูง 73% ไม่ต่างจาก mRNA และวัคซีนในโลก เราต้องเชื่อ เพราะเป็นผลวิจัยทางวิชาการ ที่กำลังจะส่งข้อมูลให้ อย.ต่อไป และที่ท่านด้อยค่านั้น ล่าสุดกรมควบคุมโรคไปเจรจากับแอสตร้าฯ มีการจัดหาภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปมาให้กับกลุ่มเสี่ยงที่รับวัคซีนแล้วแต่ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันไม่ได้ เป็นต้น

ส่วนการระบาดใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ เพราะเรามีการผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ แต่ก็ได้การสถานพยาบาลทั่วประเทศเตรียมความพร้อม และร่วมมือโรงเรียนแพทย์ และรพ.นอกสังกัด สธ. เพื่อร่วมมือกัน ในการบริหารจัดการ ดูแลคนไข้แล้ว