เปิดอำนาจ “ประวิตร” รักษาการนายกฯ ยุบสภา ทำอะไรได้บ้าง?

เมื่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์รับคำร้องปมนายกฯ 8 ปี ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมกับสั่งให้ “หยุดปฏิบัติหน้าที่” เท่ากับว่า พล.อ.ประยุทธ์ ต้องหยุดการทำหน้าที่นายกฯ ชั่วคราว 

ตามการให้ข่าวของ “อนุชา บูรพชัยศรี” รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยแทน “พล.อ.ประยุทธ์” ว่า ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องวาระการดำรงตำแหน่ง 8 ปี ของนายกรัฐมนตรี และมีมติเสียงข้างมากให้ พล.อ.ประยุทธ์ หยุดปฏิบัติหน้าที่ ตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค. 65 จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัยนั้น

“พล.อ.ประยุทธ์ เคารพผลการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญทุกประการ โดยจะหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย”

“โดยจะยังคงปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมต่อไปตามปกติ โดยในระหว่างนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะปฏิบัติหน้าที่รักษาการแทน และปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับคณะรัฐมนตรี โดยมิได้มีผลกระทบอย่างใดต่อการบริหารประเทศ และการปฏิบัติงานของข้าราชการ หรือการดำเนินนโยบายอื่น ๆ ของรัฐบาล”

กติการักษาราชการแทนนายกฯ

ใน พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 41 และมาตรา 48 วรรคหนึ่ง กำหนดการรักษาราชการแทนนายกฯ ไว้ว่า

มาตรา 41 บัญญัติว่า ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้รองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทน ถ้ามีรองนายกรัฐมนตรีหลายคน ให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งเป็นผู้รักษาราชการแทน ถ้าไม่มีผู้ใดดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้รัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งเป็นผู้รักษาราชการแทน

มาตรา 48 วรรคหนึ่ง ให้ผู้รักษาราชการแทนตามความในพระราชบัญญัตินี้ มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับผู้ซึ่งตนแทน

เหตุผลที่ พล.อ.ประวิตร ต้องรักษาการ

แต่ในกรณีนี้ เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ คนที่จะมารับภาระ คือ “พล.อ.ประวิตร” ก็เพราะ ในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 237/2563 วันที่ 13 สิงหาคม 2563

เรื่อง “มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีและมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี และปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ในกรณีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีไม่อยู่ หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้หรือไม่มีผู้ดำรงตำแหน่ง”

ระบุว่า ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีไม่อาจปฏิบัติราชการได้ คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีตามลำดับ ดังนี้ 1.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ 2.นายวิษณุ เครืองาม 3.นายอนุทิน ชาญวีรกูล 4.นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ 5.นายดอน ปรมัตถ์วินัย 6.นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์

พล.อ.ประวิตร ได้รับมอบหมายในลำดับที่ 1 จึงปฏิบัติหน้าที่ “รักษาราชการแทนนายกฯ”

แต่ในคำสั่งดังกล่าว กำกับไว้ชัดเจนว่า “ในระหว่างการรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ผู้รักษาราชการแทนข้างต้น จะสั่งการใดเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลและการอนุมัติเงินงบประมาณอันอยู่ในอำนาจของนายกรัฐมนตรีได้ ต้องได้รับความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรีเสียก่อน”

เท่ากับว่า หากรักษาราชการแทนนายกฯ คือ พล.อ.ประวิตร จะสั่งการใดเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล เช่น การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ รวมถึงการอนุมัติงบประมาณ ที่อยู่ในอำนาจของ “นายกฯ ตัวจริง” จะต้องได้รับความเห็นชอบจาก “นายกฯ ตัวจริง” คือ พล.อ.ประยุทธ์ เสียก่อน

อำนาจนายกฯ รักษาการ

ความแตกต่างระหว่างรักษาราชการแทนนายกฯ กับนายกฯรักษาการนั้น อำนาจแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ตัวอย่างเช่น หากในท้ายที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง เพราะเป็นนายกฯ ครบ 8 ปี จริง พล.อ.ประยุทธ์ ก็จะพ้นตำแหน่งนายกฯ แต่รัฐธรรมนูญยังอนุญาตให้เป็น “คณะรัฐมนตรี- นายกฯรักษาการ” ต่อไปได้

ตามเงื่อนไขรัฐธรรมนูญมาตรา 168 ระบุว่า ให้คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตําแหน่งอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปภายใต้เงื่อนไขในกรณีที่

1.ความเป็นนายกฯ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 อาทิ ตาย, ลาออก, สภาลงมติไม่ไว้วางใจ, ใช้สถานะแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ, ถือหุ้นในเอกชนเกิน 5%

2.สภาครบวาระ หรือยุบสภา

3.ครม.ลาออกทั้งคณะ

และ 4.นอกจากเหตุที่ทําให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวแล้ว ความเป็นรัฐมนตรี ของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเมื่อครบกําหนดเวลาตามมาตรา 158 วรรคสี่ด้วย (ดำรงตำแหน่งนายกฯ 8 ปี)

ทั้ง 4 ข้อ รัฐธรรมนูญอนุญาตให้อยู่ “รักษาการ” จนกว่าจะมี ครม.ชุดใหม่เข้ารับหน้าที่

เว้นก็แต่ นายกฯ พ้นจากตำแหน่ง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 167 ประกอบ มาตรา 170  หรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98 ซึ่งเป็นลักษณะต้องห้ามรับสมัครเลือกตั้ง หรือขัดกับมาตรา 160 (4) มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ (5) ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง “นายกฯ ถึงปฏิบัติหน้าที่ต่อไปไม่ได้”

อย่างไรก็ตาม มีเงื่อนไขการใช้อำนาจ “นายกฯ รักษาการ” เพิ่มเติมในมาตรา 169 ในกรณีที่คณะรัฐมนตรี พ้นตำแหน่งจากการ “ยุบสภา” หรือ “สภาครบวาระ” 4 ปี  ไว้ดังนี้

1.ไม่อนุมัติงานหรือโครงการ หรือมีผลสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป เว้นแต่กำหนดไว้ตามงบประมาณรายจ่ายประจำปี

2.ไม่แต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ให้ผู้อื่นมาปฏิบัติหน้าที่แทน ทั้งในหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือกิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ เว้นแต่ กกต.อนุมัติ

3.ไม่อนุมัติงบประมาณสำรองจ่ายฉุกเฉิน-จำเป็น เว้นแต่ กกต.อนุญาต

4.ไม่ใช้ทรัพยากรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐ กระทำอันใดที่มีผลต่อการเลือกตั้ง หรือฝ่าฝืนข้อห้าม ระเบียบของ กกต.

ดังนั้น หากนายกฯ รักษาการในกรณีที่ ไม่ใช่การ “ยุบสภา” หรือ “สภาครบวาระ” เพื่อเลือกตั้งใหม่ นายกฯ รักษาการมีอำนาจเต็มที่ เหมือนนายกฯ ทั่วไป

ตรงข้ามกัน ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ พ้นตำแหน่งครบ 8 ปี ก็จะเป็น นายกฯ รักษาการ มีอำนาจเต็มทุกประการ จนกว่าจะเลือกนายกฯ คนใหม่ มีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่


ทั้งหมดคือการเป็นความต่างของการใช้อำนาจ รักษาราชการแทนนายกฯ กับ นายกฯ รักษาการ